ทิศทางอนาคตการผลิตมันสำปะหลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทิศทางอนาคตการผลิตมันสำปะหลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความท้าทาย แนวโน้ม และลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์สู่ปี 2050

มันสำปะหลังเป็นพืชอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคเกษตรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยปลูกเป็นหลักเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแป้งอุตสาหกรรม และมีการแข่งขันด้าน การใช้พื้นที่และทรัพยากรโดยตรงกับพืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างข้าวโพด แม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นภูมิภาคผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่อุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศผู้ผลิตหลักของภูมิภาคกลับมีความหลากหลายและแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของโครงสร้างการผลิต สถานการณ์ปัจจุบัน และศักยภาพการเติบโตในอนาคต

ความเป็นผู้นำของประเทศไทยในระดับภูมิภาค ประกอบกับประวัติความสำเร็จอันยาวนานด้านการปรับปรุงพันธุ์ มันสำปะหลัง ได้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงและได้รับการยอมรับใช้อย่างกว้างขวางในภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จดังกล่าวยังหมายความว่า ศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต ในอนาคตมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างจำกัด และอาจเป็นการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดด
ขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยในระดับประเทศของกัมพูชาและอินโดนีเซียยังมีศักยภาพในการเติบโตในระดับปานกลาง เวียดนามกลับสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำด้านประสิทธิภาพการผลิตอย่างเด่นชัดระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปในระยะยาว ส่วนประเทศลาว การขยายพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังไปสู่พื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่า อันเป็นผลจากแรงจูงใจด้านความสามารถในการทำกำไร อาจส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในระดับประเทศ มีแนวโน้มลดลง

ความต้องการแป้งอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงแนวโน้มเชิงบวกของตลาดในอนาคต อย่างไรก็ดี การผลิตมันสำปะหลังในระยะข้างหน้ายังคงเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาศัตรูพืชและโรคพืช ซึ่งถูกระบุว่าเป็นปัจจัยหลักที่คุกคามระดับผลผลิต ขณะเดียวกัน ในบางพื้นที่ สภาพแวดล้อมด้านนโยบายที่ขาดความเป็นระบบ รวมถึงการแข่งขันในการใช้ทรัพยากรที่ดิน ยังคงเป็นแรงกดดันที่ซ้ำเติมความท้าทายในการพัฒนาและขยายการผลิตมันสำปะหลังในระยะยาว

การสร้างความมั่นคงให้กับภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงปี 2050 จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปที่

  • การพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังที่ต้านทานโรค
  • การผลิตและการเข้าถึงวัสดุปลูกที่สะอาดในระดับขนาดใหญ่
  • การติดตามและเฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายวัสดุปลูกข้ามพรมแดน
  • การพัฒนาระบบการรวบรวมข้อมูลภาคสนามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การกำหนดนโยบายระดับชาติที่มีความสอดประสาน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในการปรับใช้พันธุ์ต้านทานโรค ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น และแนวทางการจัดการแปลงปลูกที่มีความยืดหยุ่นและทนทานต่อความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น

เหตุใดจึงมีความสำคัญ

มันสำปะหลังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจภาคการเกษตรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการเพาะปลูกกระจายอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค (รูปที่ 1) พืชชนิดนี้ถูกปลูกเป็นหลักในฐานะพืชเศรษฐกิจเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตแป้ง และเป็นองค์ประกอบสำคัญของห่วงโซ่มูลค่าในระดับภูมิภาค อีกทั้งยังมีการแข่งขันโดยตรงกับสินค้าเกษตรหลักอื่น ๆ เช่น ข้าวโพด
ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การผลิตมันสำปะหลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 95 ของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้มันสำปะหลังกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของทั้งเกษตรกรรายย่อยและเศรษฐกิจในระดับประเทศ

จากพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังประมาณ 5 ล้านเฮกตาร์ในเอเชียตะวันออก มากกว่าร้อยละ 99 ยังคงอยู่ในมือของเกษตรกรรายย่อย ทำให้การเพาะปลูกมันสำปะหลังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความยากจนในชนบท ประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังยังมีอิทธิพลโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรม รายได้ของเกษตรกร และรูปแบบการใช้ที่ดินทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งสะท้อนภาพความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างประสิทธิภาพการผลิตในระดับไร่นาและแรงงาน การแปรรูปและความมั่นคงด้านอาหาร ตลาดคาร์โบไฮเดรตโลก ตลอดจนการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน

รูปที่ 1 การกระจายตัวของการผลิตมันสำปะหลังและพื้นที่เก็บเกี่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หมายเหตุ: การแรเงาสีของแต่ละประเทศแสดงถึงปริมาณการผลิตมันสำปะหลัง (ตัน) โดยสีน้ำเงินที่เข้มขึ้นหมายถึงผลผลิตที่สูงกว่า ขนาดของวงกลมแสดงถึงพื้นที่เก็บเกี่ยว (เฮกตาร์)

แนวโน้มการผลิตมันสำปะหลังรายประเทศ

ในปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) องค์กร Alliance of Bioversity-CIAT ได้จัดกระบวนการปรึกษาหารือผู้เชี่ยวชาญขึ้น เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มผลผลิตมันสำปะหลังในอดีต และรวบรวมมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของการผลิตมันสำปะหลังในประเทศผู้ผลิตหลักของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนทั้งสิ้น 5 คน เข้าร่วมการหารือจำนวน 2 ครั้ง เพื่อทบทวนข้อมูลในอดีตและวิพากษ์การคาดการณ์ผลผลิตตามแบบจำลองจนถึงปี 2050 ภายใต้กรอบแนวคิดและระเบียบวิธีเฉพาะที่พัฒนาขึ้นสำหรับการศึกษาครั้งนี้ (Petsakos, 2024)

ผลจากการปรึกษาหารือดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของสภาพการผลิตในภูมิภาค ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปที่ 2 และสามารถระบุทั้งความท้าทายและโอกาสสำคัญจำนวนมากที่ประเทศผู้ผลิตหลักกำลังเผชิญ โดยปัจจัยเหล่านี้จะมีบทบาทอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางและพัฒนาการของภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของภูมิภาคไปจนถึงปี 2050

รูปที่ 2 การเติบโตของผลผลิตมันสำปะหลังในอดีตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความแปรปรวนของผลผลิต
หมายเหตุ: เส้นตรงกึ่งกลางแสดงถึงผลผลิตเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของประเทศผู้ผลิตทั้งหมด ขณะที่แถบพื้นที่รอบเส้นดังกล่าวแสดงถึงค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานถ่วงน้ำหนักของผลผลิตในแต่ละปี

ความท้าทายร่วมในระดับภูมิภาค

แรงกดดันจากศัตรูพืชและโรคพืช: ภัยคุกคามในปัจจุบัน เช่น โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava Mosaic Disease: CMD) และ โรคพุ่มแจ้ (Witches’ Broom Disease) รวมถึงความเป็นไปได้ของการระบาดของโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคใบไหม้สีน้ำตาลของมันสำปะหลัง (Cassava Brown Streak Disease: CBSD) (Tomlinson, Bailey, Alicai, Seal และ Foster, 2018) กำลังสร้างความกังวลอย่างมากทั่วทั้งภูมิภาค

CMD ถูกตรวจพบครั้งแรกในภูมิภาคนี้ในปี 2015 จากการปนเปื้อนในท่อนพันธุ์ และนับแต่นั้นมาได้แพร่กระจายไปในพื้นที่ส่วนใหญ่ของลาว กัมพูชา เวียดนาม และประเทศไทย (Minato และคณะ, 2019; Saokham และคณะ, 2021; Siriwan และคณะ, 2020) นอกจากนี้ โรคพุ่มแจ้ และอาจรวมถึง CBSD กำลังกลับมาเป็นภัยคุกคามสำคัญอีกครั้ง ซึ่งอาจซ้ำเติมให้ความก้าวหน้าด้านผลผลิตที่เคยเกิดขึ้นต้องถดถอย หากไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม (Leiva และคณะ, 2023; Pardo และคณะ, 2023)

ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งแสดงความกังวลว่าแรงกดดันดังกล่าวอาจลดลงได้ยากในประเทศไทย และชี้ให้เห็นว่าการคาดการณ์ผลผลิตในระดับสูงอาจไม่สามารถบรรลุได้ในทางปฏิบัติ

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล: ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่าความท้าทายสำคัญประการหนึ่งคือการขาดแคลนและคุณภาพที่ต่ำของข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการ ทั้งในระดับประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับย่อยของพื้นที่ (ระดับจังหวัด/ท้องถิ่น) ข้อมูลผลผลิตในอดีตจาก FAOSTAT (FAOSTAT คือฐานข้อมูลสถิติด้านอาหารและการเกษตรของโลก พัฒนาและดูแลโดย องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO – Food and Agriculture Organization of the United Nations) สำหรับประเทศอย่างกัมพูชาและอินโดนีเซีย ถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ถูกต้อง โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่าตัวเลขเหล่านี้มักคำนวณจากข้อมูลการค้าที่ไม่สมบูรณ์และขาดการตรวจสอบภาคสนาม

การปรับปรุงระบบติดตามและเฝ้าระวังข้อมูลการผลิตและการค้ามันสำปะหลังในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยเอื้อให้สามารถจัดทำการคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ และนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

นโยบายและธรรมาภิบาล: ในหลายพื้นที่ของภูมิภาค ภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังพัฒนามาจนถึงปัจจุบันภายใต้บริบทด้านสถาบันที่อ่อนแอและขาดการสนับสนุนเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ ในประเทศอินโดนีเซีย สภาพแวดล้อมด้านนโยบายที่ “ขาดความเป็นระเบียบและความชัดเจน” ถูกระบุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

ขณะที่ในเวียดนาม ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะห้าปีของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ ในการระดมทรัพยากรเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนโยบาย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนเสมอไปว่าความพยายามดังกล่าวประสบความสำเร็จเพียงใดในการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

การแข่งขันด้านทรัพยากรและตลาด: มันสำปะหลังมักถูกมองว่าเป็นพืชที่ใช้ปัจจัยการผลิตต่ำในหลายพื้นที่ของภูมิภาค ส่งผลให้มีการใช้วัสดุปรับปรุงดิน ปุ๋ย หรือเทคโนโลยีอนุรักษ์ดินค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในชุมชนชนบทที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร

ในประเทศไทยและเวียดนาม มันสำปะหลังมีการแข่งขันโดยตรงกับข้าวโพดและพืชไร่บนพื้นที่สูงชนิดอื่น ๆ ในการใช้ที่ดินและทรัพยากร ขณะที่ในอินโดนีเซีย ภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังแบ่งออกเป็นสองตลาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ตลาดอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง และตลาดเพื่อการบริโภคที่ให้ผลผลิตต่ำ พลวัตเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรและต่อการเติบโตของประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม

นัยเชิงนโยบาย

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: ในฐานะวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมแป้ง หากผลผลิตมันสำปะหลังลดลง อาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่อห่วงโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค

ผลกระทบต่อวิถีชีวิต: ในพื้นที่ที่มันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก การไม่สามารถแก้ไขปัจจัยที่จำกัดผลผลิตได้อย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อยนับล้านครัวเรือน

ความเสี่ยงด้านนโยบายและการลงทุน: ความไม่น่าเชื่อถืออย่างแพร่หลายของข้อมูลสถิติภาคเกษตรอย่างเป็นทางการ ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้กำหนดนโยบายและผู้ให้ทุนสนับสนุน เนื่องจากการตัดสินใจต้องอาศัยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและขาดความเข้าใจที่เพียงพอเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของข้อมูล ส่งผลให้ความพยายามในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานขาดประสิทธิผล

ลำดับความสำคัญด้านการวิจัย: ความท้าทายเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการวิจัยและพัฒนา โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงพันธุ์ที่ต้านทานศัตรูพืชและโรคพืช นวัตกรรมด้านระบบเมล็ดพันธุ์เพื่อให้พันธุ์ใหม่และท่อนพันธุ์สะอาดเข้าถึงได้อย่างแพร่หลาย รวมถึงแนวทางการจัดการด้านวิชาการเกษตรที่เหมาะสมกับระบบการผลิตที่แตกต่างกัน (เช่น ระบบอุตสาหกรรมที่ให้ผลผลิตสูง เทียบกับระบบเพื่อการบริโภคที่ใช้ปัจจัยการผลิตต่ำ)

ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม: สภาพการผลิตที่มีประสิทธิภาพต่ำและการชะล้างพังทลายของหน้าดินในพื้นที่ที่ปลูกมันสำปะหลังบนภูมิประเทศที่ไม่เหมาะสม (เช่น พื้นที่ลาดชันทางภาคเหนือ) รวมถึงปัญหาดินเค็มในภาคใต้ของเวียดนาม อันเนื่องมาจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อการผลิตในระบบชลประทานของจังหวัดเตนินห์

ข้อเสนอแนะและแนวทางการดำเนินการ

เสริมสร้างการจัดการศัตรูพืชและโรคพืช: เร่งรัดการวิจัย พัฒนา และกระจายพันธุ์มันสำปะหลังที่ต้านทานโรค ซึ่งเหมาะสมกับสภาพตลาดและระบบการผลิตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการลงทุนในการเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่ด้านสุขอนามัยพืช เพื่อยกระดับระบบเฝ้าระวังและการตรวจพบโรค ในระยะเริ่มต้นในพื้นที่จริง รวมถึงการจัดทำกลยุทธ์ระดับภูมิภาคที่มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบในการจัดการและควบคุมการระบาด โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือในการติดตามและกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายวัสดุปลูกข้ามพรมแดน

ปรับปรุงการเก็บรวบรวมและการติดตามข้อมูล: จำเป็นต้องมีความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคในการพัฒนาระบบสถิติการเกษตรที่มีความเข้มแข็งและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูก ปริมาณการผลิต และผลผลิต ต่อหน่วย พึงรวมถึงการติดตามทั้งในรูปแบบการสำรวจภาคสนามตามมาตรฐาน การติดตามบนฐานข้อมูลการค้า ตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการสำรวจระยะไกล (remote sensing) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพ

ส่งเสริมนโยบายระดับชาติที่มีความสอดประสาน: ภาครัฐควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจน มีเสถียรภาพ และเอื้อต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ บริการส่งเสริมการเกษตร และการเชื่อมโยงตลาด ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเพื่อการบริโภค

เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและการเข้าถึงเทคโนโลยี: มุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ เพื่อช่วยให้เกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย สามารถนำพันธุ์และแนวปฏิบัติที่ได้รับการปรับปรุงไปใช้ในการจัดการโรคพืช การดูแลสุขภาพดิน และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

บทความโดย Alliance Bioversity–CIAT
ภายใต้ Consultative Group on International Agricultural Research (CGIAR)