อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ขอเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เพื่อจำกัดการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว

นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ขอเข้าพบนายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และนายอุดมเขต ราษฎร์นุ้ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เพื่อหารือการเฝ้าระวัง และจำกัดการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ณ ห้องรับรอง ศาลากลางจังหวัดสระแก้ว ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว

นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร พบโรคระบาดใบด่างมันสำปะหลัง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 มีการระบาดอยู่ 5 อำเภอในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว และเดือนมิถุนายน สำรวจพบการระบาดเพิ่มเป็น 8 อำเภอ จึงขอเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นการเร่งด่วน เพื่อจะบูรณาร่วมกันในการกำจัดโรคใบด่างในมันสำปะหลัง และลดการแพร่กระจายไม่ให้ระบาดไปมากกว่านี้ โดยโรคดังกล่าวจะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังมีปริมาณผลผลิตที่ลดลง

ทั้งนี้หากระบาดเป็นจำนวนมากจะทำให้ขาดแคลนพันธุ์มันสำปะหลัง สำหรับโรคใบด่างในมันสำปะหลังมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรค มีหลักวิธีกำจัด 3 ข้อ ได้แก่ 1.พบแล้วให้ฝังกลบทำลาย 2.กำจัดแมงหวี่ขาว และ 3.ห้ามเคลื่อนย้ายออกจากแปลง เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดที่อื่น คือ เกษตรกรต้องสำรวจทุกอาทิตย์ ๆ ละ 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำ เมื่อพบการระบาดให้ทำลายทันที โดยการทำให้ต้นตาย ด้วยวิธีฝังกลบ หรือสับต้นมันสำปะหลังเป็นท่อน ๆ แล้วใส่ถุงดำมัดปากถุงทิ้งไว้ในแปลงกลางแดดจนกว่าต้นจะตาย แล้วห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกแปลง และถ้าต้องการจะปลูกใหม่ต้องใช้ท่อนพันธุ์ที่สะอาดจากแปลงที่ไม่เป็นโรคมาก่อน พร้อมทั้งแจ้งสำนักงานเกษตรจังหวัด หรือสำนักงานเกษตรอำเภอ สิ่งที่สำคัญเกษตรกรต้องให้ความร่วมมือกับทางหน่วยราชการในการป้องกันการแพร่กระจายของโรค จึงจะกำจัดโรคระบาดนี้ได้จริงจัง

นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ทางจังหวัดมีความเป็นห่วงเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง หลังจากนี้จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรควบคู่ไปกับการกำจัดโรคใบด่างในมันสำปะหลัง เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคและหาแนวทางป้องกัน สกัดกั้น การนำเข้าพันธุ์มันสำปะหลังที่เป็นโรคด้วย โดยในเบื้องต้นได้มีเกษตรอำเภอลงพื้นที่สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคใบด่างในในสำปะหลัง และการทำลายเมื่อพบโรคดังกล่าว ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์