ต้องรู้ เลือกท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพปลูกได้ปริมาณ-รายได้เพิ่ม

ต้องรู้ เลือกท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพปลูกได้ปริมาณ-รายได้เพิ่ม

29th Apr 2025 General Information

กรมส่งเสริมการเกษตร แนะวิธีเลือกท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพก่อนปลูก ชี้เกษตรกร ควรคัดเลือกท่อนพันธุ์มันสำปะหลังให้ได้คุณภาพก่อนลงปลูกเพื่อให้การเพาะปลูกประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ท่อนพันธุ์เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ของพืชอื่น ๆ หากท่อนพันธุ์ไม่สมบูรณ์ แข็งแรง หรือมีโรคและแมลงติดมา ย่อมส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ผลผลิต และคุณภาพ ของหัวมันสำปะหลังโดยตรง การเลือกใช้ท่อนพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจะช่วยให้มันสำปะหลังเจริญเติบโตได้ดีแม้ในสภาวะอากาศที่แปรปรวนและช่วงฤดูแล้ง

ดังนั้น การวางแผนการผลิตและการเตรียมท่อนพันธุ์ปลูกให้มีคุณภาพ และให้มีปริมาณเพียงพอในแต่ละฤดูการผลิตจะเป็นปัจจัยเบื้องต้นที่สามารถยกระดับผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต มันสำปะหลัง เพราะท่อนพันธุ์คุณภาพดีจะมีความงอกสูง งอกได้เร็วไม่ต้องเสียเวลาและแรงงานในการปลูกซ่อม แรงงานในการกำจัดวัชพืช เพราะมันสำปะหลังเจริญเติบโตคลุมพื้นที่ได้เร็ว

นอกจากนี้ การรักษาพันธุ์ไว้ใช้ต่อได้เอง เป็นการลดความเสี่ยงจากการนำพันธุ์จากแหล่งอื่นมาปลูกซึ่งอาจมีโรคและแมลงติดมา และเพิ่มโอกาสในการได้ผลผลิตที่สูง และมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่ง 10 ปัจจัยสำคัญ ที่เกษตรกรควรพิจารณาในการเลือกท่อนพันธุ์ มันสำปะหลังคุณภาพ เพื่อให้การเพาะปลูกประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น ประกอบด้วย

1. พันธุ์ การเลือกพันธุ์ที่ตรงตามความต้องการของตลาด พันธุ์ที่ทนทานต่อโรคใบด่าง ได้แก่ เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 และระยอง 72 เป็นต้น หรือพันธุ์ที่มีความต้านทานโรคใบด่าง ได้แก่ พันธุ์อิทธิ 1 อิทธิ 2 และอิทธิ 3 เป็นต้น รวมทั้งการเลือกที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ปลูกเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากแต่ละพันธุ์มีลักษณะการเจริญเติบโต การสะสมแป้ง ความงอก และความแข็งแรงแตกต่างกัน การมีพันธุ์ปนจะส่งผลเสียต่อผลผลิตโดยรวม

2. อายุของต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ที่ดีควรมาจากต้นที่มีอายุระหว่าง 8-14เดือน ไม่ควรอ่อนหรือแก่จนเกินไป โดยการใช้ท่อนพันธุ์ปลูกจากส่วนกลางของต้นจะมีเปอร์เซ็นต์อยู่รอด 69-84 เปอร์เซ็นต์

3. ขนาดของท่อนพันธุ์และส่วนที่ใช้ทำพันธุ์ ควรเลือกท่อนพันธุ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตรขึ้นไป และมีความยาว 15-20 เซนติเมตร มีตาอย่างน้อย 7-10 ตาต่อท่อน โดยท่อนพันธุ์ขนาด 20 เชนติเมตร จากส่วนกลาง และโคนของต้นที่มีอายุ 12 เดือน มีเปอร์เซ็นต์อยู่รอดของท่อนพันธุ์ 73-92 เปอร์เซ็นต์

4. การจัดการในแปลงพันธุ์ ต้นพันธุ์ที่ได้รับการดูแลและใส่ปุ๋ยอย่างเหมาะสม ควรจะมีธาตุอาหารหลักครบ

3 ชนิด ทั้ง ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โปแทสเซียม (K) จะมีความสมบูรณ์และให้ท่อนพันธุ์ที่มีคุณภาพดีกว่า

5. การปนเปื้อนหรือการทำลายของโรคและแมลง เกษตรกรต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่อนพันธุ์ปราศจาก การเข้าทำลายของโรคและแมลงต่าง ๆ เช่น โรคใบด่างมันสำปะหลัง โรคพุ่มแจ้ เพลี้ยแป้งสีชมพู ไม่ควรใช้ท่อนพันธุ์จากต้นที่เป็นโรคหรือมาจากแหล่งที่มีการระบาดรุนแรง

6. ความเสียหายจากเครื่องมือและการปฏิบัติ ระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ตาของท่อนพันธุ์ระหว่าง การตัด มัด หรือขนย้าย

7. อายุการเก็บรักษาท่อนพันธุ์ ควรใช้ท่อนพันธุ์ที่ใหม่สด หรือเก็บรักษาไว้ในระยะเวลาสั้นที่สุด ไม่เกิน 7-15 วัน เพื่อรักษาคุณภาพ

8. การจัดการท่อนพันธุ์ก่อนการปลูก การแช่ท่อนพันธุ์ในน้ำหรือน้ำผสมสารกระตุ้นการงอก เช่น ยูเรีย น้ำหมักชีวภาพ ในอัตราที่เหมาะสม เป็นเวลา 2 ชั่วโมงก่อนปลูก หรือแช่ค้างคืน จะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์และความเร็วในการงอก

9. การตัดท่อนพันธุ์ ควรตัดให้มีรอยช้ำน้อยที่สุด เพื่อให้รากงอกแข็งแรงสมบูรณ์ สามารถใช้มีดคมตัด หรือเครื่องตัดท่อนพันธุ์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ

10. การขนย้ายท่อนพันธุ์ เพื่อตรวจเช็คคุณภาพของท่อนพันธุ์มันสำปะหลังว่าไม่มีการปนเปื้อนจากการเข้าทำลายของโรคและแมลงต่าง ๆ เกษตรกรสามารถตรวจสอบก่อนการรับท่อนพันธุ์ได้จากหนังสืออนุญาตการขนย้าย ซึ่งในเอกสารจะมีการระบุพันธุ์ ปริมาณ ระยะเวลา สถานที่ และหมายเลขทะเบียนยานพาหนะ ออกโดยประธานคณะกรรมการ ส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือนายอำเภอ หรือพาณิชย์จังหวัด และอนุญาตเป็นรายครั้งเท่านั้น

ทั้งนี้ หากเกษตรกรมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการใช้ท่อนพันธุ์ที่มาจากแหล่งที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้ง ควรแช่ท่อนพันธุ์ในสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงที่แนะนำ เช่น ไทอะมีโทแซม 25% WG อัตรา 4 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 4 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือไดโนทีฟูแรน 100% WG อัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร เป็นเวลา5-10 นาทีก่อนปลูก เพื่อป้องกันการระบาดของแมลงในระยะเริ่มต้นของการเจริญเติบโต

กรมส่งเสริมการเกษตรหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำแนะนำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรในการเลือกท่อนพันธุ์ มันสำปะหลังคุณภาพ เพื่อให้การเพาะปลูกประสบความสำเร็จ สร้างผลผลิตที่งอกงาม และนำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคงต่อไป หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม เกษตรกรสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

“พิชัย” จับมือ COFCO จีน นำเข้ามันสำปะหลังไทย กว่า 9.8 แสนตัน

“พิชัย” จับมือ COFCO จีน นำเข้ามันสำปะหลังไทย กว่า 9.8 แสนตัน

17th Jan 2025 General Information

“พิชัย” รมว.พาณิชย์ จับมือผู้นำเข้ายักษ์ใหญ่จีน COFCO BIOTECHNOLOGY สั่งซื้อมันสำปะหลังไทยกว่า 9.8 แสนตัน ร่วม 8,000 ล้านบาท ดูดซับหัวมันสด 3 ล้านตัน ดึงราคามันทั้งระบบ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างการเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาการซื้อขาย (Purchasing Order) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างผู้ประกอบการไทย และบริษัท COFCO BIOTECHNOLOGY CO.,LTD หน่วยงานนำเข้ายักษ์ใหญ่การค้าสินค้าเกษตรแดนมังกร ซึ่งจัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

โดยมีนายเจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาแห่งสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยและภาคเอกชน ว่า การลงนามครั้งนี้เพื่อดูดซับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศ และเป็นการส่งสัญญาณบวกให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งระบบและดึงราคามันสำปะหลังของเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังให้สูงขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์พยายามแก้ไขปัญหาราคามันสำปะหลัง จึงได้มีการติดต่อประสานงานและได้หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย มาช่วยแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบ จึงเป็นจุดเริ่มต้นการรับซื้อมันสำปะหลังในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้ราคามันสำปะหลังของไทยพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ตั้งเป้าเบื้องต้นที่ 2.5 บาท/กก. และอยากให้ถึง 3 บาท/กก.ในอนาคต พร้อมกันนี้จะร่วมมือกับสถานทูตจีนต่อไปในเรื่องการส่งออกโค ข้าว และทุเรียน เพื่อให้การค้าของไทยราบรื่น

“การลงนามสัญญาซื้อขายและ MOU ระหว่างบริษัท COFCO BIOTECHNOLOGY CO.,LTD และผู้ประกอบไทยในครั้งนี้ที่มีมูลค่าถึง 3,489 ล้านบาท ปริมาณ 540,000 ตัน คิดเป็นปริมาณหัวมันสดถึง 1.28 ล้านตัน และก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางจัดกิจกรรมปลุกตลาดการค้ามันสำปะหลังในจีน ณ นครเซี่ยงไฮ้ และนครเฉิงตู เมื่อวันที่ 6-8 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอยากสูง มีการลงนาม MOU ซื้อขายสินค้ามันปะหลังไปแล้วมูลค่าร่วม 5,314.95 ล้านบาท ปริมาณถึง 440,000 ตัน คิดเป็นปริมาณหัวมันสดกว่า 1.68 ล้านตัน และเมื่อรวมกันทำให้สามารถสร้างความต้องการซื้อมันสำปะหลังไทยได้ถึง 980,000 ตัน มูลค่าร่วม 8,083 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถดูดซับหัวมันสดในประเทศได้กว่า 2.96 ล้านตัน หรือเกือบ 3 ล้านตัน”

อย่างไรก็ดี การลงนามซื้อขายมันสำปะหลังกับจีนครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านราคาและตลาดให้แก่เกษตรกรและผู้ส่งออกมันสำปะหลังของไทย ว่าผลผลิตของตนจะมีตลาดรองรับ ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกรและการจัดพิธีลงนามดังกล่าวยังถือเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ ไทย-จีน ในวาระครบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2568 นี้อีกด้วย

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายสำคัญในการสนับสนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรของไทย เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มมากขึ้น ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น กรมการค้าต่างประเทศจึงได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ซึ่งผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยกว่า 700,000 ครัวเรือน สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศในแต่ละปีมากกว่า 100,000 ล้านบาท

โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังไปยังประเทศจีนมีปริมาณมากกว่า 3.8 ล้านตัน มูลค่ากว่า 53,000 ล้านบาท ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น แอลกอฮอล์ อาหารคน อาหารสัตว์ กาว กระดาษ และอื่น ๆ ซึ่งตลาดจีนที่เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่สุดของประเทศไทย จึงให้ความสำคัญในการขยายโอกาสการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสัมปะหลังของไทยไปยังจีนเพิ่มมากขึ้น

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ครม. เคาะงบฯ กว่า 368 ล้านบาท ช่วยเหลือชาวไร่มันสำปะหลัง

ครม. เคาะงบฯ กว่า 368 ล้านบาท ช่วยเหลือชาวไร่มันสำปะหลัง

18th Dec 2024 General Information

พิชัย รมว.พาณิชน์ เผย ที่ประชุม ครม. เคาะงบฯกว่า 368 ล้านบาท รักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ช่วยเหลือชาวไร่มัน ลดต้นทุนเกษตรกร พร้อม 4 โครงการเดินหน้าช่วยเหลือทันที

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสําปะหลังตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567

เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อมันสำปะหลังโดยไม่เร่งระบายผลผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกและสร้างศักยภาพการแปรรูปของเกษตรกร ในการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งจะส่งผลให้ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประกอบด้วย 4 โครงการ ดังนี้

1. โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกมันสำปะหลัง ปี 2567/2568 วงเงิน 300 ล้านบาท

โดยสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง โรงงานเอทานอลที่กู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้สามารถรับซื้อมันสำปะหลังและแปรรูปเก็บสต๊อกในรูปแบบมันเส้นหรือแป้งมัน เป็นระยะเวลา 60-180 วัน

เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด เป้าหมาย 6 ล้านตันหัวมันสด รัฐชดเชยดอกเบี้ยแก่ผู้เข้าร่วมโครงการ ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตามระยะเวลาที่เก็บสต๊อก และมีระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 พฤษภาคม 2568 ระยะเวลาเก็บสต๊อก ตั้งแต่ 1 มกราคม-30 พฤศจิกายน 2568 ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ -31 ตุลาคม 2569

2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2567/2568 วงเงิน 17.50 ล้านบาท

โดย ธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร (สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้นจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรที่ดำเนินกิจการโดยมีสมาชิกประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก

เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมาย วงเงินกู้ 500 ล้านบาท ผลผลิตประมาณ 200,000 ตัน อัตราดอกเบี้ยโครงการ ร้อยละ 4.5 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐสนับสนุนดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3.5 ต่อปี ระยะเวลา 12 เดือน ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ-30 มิถุนายน 2569

3. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี 2567/2568 วงเงิน 41.40 ล้านบาท

โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และลดต้นทุนการผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมายเกษตรกร 3,000 ราย รายละไม่เกิน 230,000 บาท วงเงินกู้รวม 690 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยโครงการ เท่ากับ MRR และรัฐรับภาระดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อปี เกษตรกรรับภาระในอัตรา MRR -3 ระยะเวลา 24 เดือน กำหนดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ-31 ตุลาคม 2570

4. โครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง (เครื่องสับมัน) วงเงิน 10 ล้านบาท

โดยเป็นการสนับสนุนเงินทุนให้กลุ่มเกษตรกรเพื่อจัดหาเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กพร้อมเครื่องยนต์ และอุปกรณ์สำหรับตากมันเส้น เครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท เป้าหมาย 650 เครื่อง ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.อนุมัติ-30 กันยายน 2568

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมของบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังไปก่อนในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมากนี้ ให้ผลผลิตมีเชื้อแป้งและผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรขายได้ราคา

โดยจะสนับสนุนให้ใช้สินเชื่อจาก ธ.ก.ส. เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว โดยรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยให้ส่วนหนึ่ง คาดว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้ภายในสัปดาห์หน้า

“รัฐบาลนำโดยท่านนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลราคาสินค้าเกษตรทุกตัวให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง ก็จะเร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคา และขอให้เกษตรกรพัฒนาผลผลิตของตนเองให้มีคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง ในการเพิ่มคุณภาพผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน“ นายพิชัยกล่าว

โดยก่อนหน้านี้ นายพิชัยได้หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ขอให้ผู้นำเข้าจีนช่วยรับซื้อมันสําปะหลังของไทย ที่ผลผลิตกำลังจะออกมามากในช่วงนี้ ทั้งยังได้ประสานขอให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย ให้ช่วยกันใช้ส่วนผสมจากมันสำปะหลังในการผลิตเยอะขึ้นด้วย

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

อุตฯ มันสำปะหลังไทยส่อโคม่า จีนตั้ง 30 รง.แป้งมันในลาวแย่งตลาดโลก

อุตฯ มันสำปะหลังไทยส่อโคม่า จีนตั้ง 30 รง.แป้งมันในลาวแย่งตลาดโลก

07th Oct 2024 General Information

อุตฯ มันสำปะหลัง ส่อโคม่า คาดปี 67 ส่งออกมันเส้นต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 2.5 ล้านตัน หลังจีนตลาดใหญ่หันใช้ข้าวโพดต้นทุนถูกกว่าผลิตแอลกอฮอล์ เหลือโรงงานรับซื้อ 3 โรง ด้านแป้งมันไทย ผวาจีนคู่แข่งใหม่ ชักแถวตั้งโรงงานผลิตในลาว 30 โรง จากมีวัตถุดิบ ต้นทุน-ค่าแรงถูก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันสำปะหลังมักมีราคาถูกกว่าพืชอาหารที่ให้แป้งประเภทอื่น อีกทั้งสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้ความต้องการมันสำปะหลังในตลาดโลกเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้มันสำปะหลังเป็นพืชอาหารที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 5 ของโลกเมื่อพิจารณาจากปริมาณผลผลิตโดยรวม รองจากข้าวโพด ข้าวเจ้า ข้าวสาลี และมันฝรั่ง

ล่าสุดได้เกิดเหตุการณ์ที่ช็อกวงการอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง เนื่องจากช่วง 8 เดือนแรกปี 2567 การส่งออกได้หดตัวลงทั้งปริมาณและมูลค่า กระทบต่อเนื่องถึงเกษตรกรอย่างรุนแรงจากขายหัวมันฯได้ราคาเพียง 1.40 บาทต่อกิโลกรัม ( ณ 30 ก.ย.67)

นายสุรพงษ์ แสงศิริพงษ์พันธ์ นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงสถานการณ์การส่งออกมันเส้นช่วง 8 เดือนแรกปี 2567 มีปริมาณเพียง 1.6 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ส่งออกได้ 3.9 ล้านตัน ผลสืบเนื่องจากตลาดจีนที่เป็นตลาดส่งออกหลัก ปัจจุบันเหลือผู้ซื้อมันเส้นในจีนเพียง 3 ราย จากเดิมประมาณ 10 ราย

เนื่องจากราคาข้าวโพดในจีนถูกกว่ามันเส้นมาก ส่งผลให้โรงงานหันไปใช้ข้าวโพดแทนมันสำปะหลังในการผลิตแอลกอฮอล์ ทำให้มีต้นทุนที่ถูกกว่า โดยหากใช้มันเส้นเป็นวัตถุดิบผลิตต้นทุนจะอยู่ที่ 5,500 หยวนต่อตัน ขณะที่ใช้ข้าวโพดต้นทุนอยู่ที่ 5,230 หยวนต่อตัน ดังนั้นการส่งออกมันเส้นของไทยในปี 2567 ไม่น่าเกิน 2.5 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับผลผลิตข้าวโพดของจีนในปี 2567 คาดอยู่ที่ 289 ล้านตัน จากการสนับสนุนของรัฐบาลที่ลดพื้นที่การปลูกถั่วเหลือง แล้วหันมาปลูกข้าวโพดในประทศทดแทน (จากที่ไม่เคยมีผลผลิตข้าวโพดเกิน 253 ล้านตัน) ทำให้ในประเทศมีข้าวโพดใช้เพียงพอ โดยชาวไร่ข้าวโพดจีนจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน

“ในส่วนของประเทศไทยถ้ารัฐบาลไม่เร่งช่วยแก้ไขปัญหาโรคใบด่าง จะยิ่งทำให้ผลผลิตนับวันยิ่งถอยหลัง ซึ่งจากการข้อมูลการสำรวจพบว่า ผลผลิตมันสำปะหลังของไทยต่อไร่เฉลี่ยเพียง 2.7 ตัน ทำให้ผลผลิตในภาพรวมเวลานี้เฉลี่ยลดลงเหลือ 22 ล้านตันต่อปี”

ดังนั้นชาวไร่และภาครัฐต้องประสานความร่วมมือในการยกระดับ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้ได้มากกว่า 3.5 ตันต่อไร่ เพื่อทำให้ผลผลิตภาพรวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 35 ล้านตันต่อปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และทำให้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาได้มากขึ้น แต่หากยังยืนกรานว่าจะต้องขายของแพง ต่อไปก็อาจจะไม่มีใครซื้อสินค้า และตอนนี้ก็เผชิญภาวะค่าเงินบาทแข็งทำให้การส่งออกยิ่งยากขึ้นถือเจอปัญหา 2 เด้ง

สำหรับในฤดูกาลผลิต 2567/68 จากรายงานผลผลิตมันสำปะหลังของคณะสำรวจจะเหลือแค่ 22 ล้านตัน จากที่โรงงานแป้งมันมีความต้องการวัตถุดิบถึง 24 ล้านตัน ซึ่งปกติไทยมีการนำเข้ามันเส้นจากประเทศลาวประมาณ1.5 ล้านตันต่อปี หากรัฐบาล สปป.ลาว ประกาศห้ามส่งออกเพื่อป้องกันสินค้าในประเทศขาดแคลนในประเทศอีก ปีหน้าโรงงานมันเส้นจะเอาผลผลิตที่ไหนมาส่งออก นี่คือปัญหาที่หนักกว่า

สอดคล้องกับนายบุญชัย ศรีชัยยงพานิช กรรมการและที่ปรึกษา สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย ที่กล่าวว่าราคาข้าวโพดในประเทศจีนราคาถูกมาก ทำให้มันสำปะหลังแข่งขันยาก โรงงานแอลกอฮอล์หลายแห่งที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ก็หยุดชั่วคราวไปหลายโรง เพราะทำแล้วขาดทุน บวกกับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศไม่เพียงพอมีเพียง 21-22 ล้านตัน แค่โรงงานแป้งมันใช้อย่างเดียวก็ 24-26 ล้านตัน ไม่รวมโรงงานเอทานอลในเมืองไทยที่ใช้มันเป็นวัตถุดิบไม่ตํ่า 3 ล้านตัน ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องขาดแคลนวัตถุดิบ

“หากพิจารณาแนวโน้มปี 2568 ยังไม่มีสัญญาณบวกโดยเฉพาะต้นทุนเกษตรกรสูงขึ้นจากยังเจอโรคใบด่าง ทำให้อุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่การผลิตที่มีมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ได้รับผลกระทบจากโรคนี้”

นายชุมพล ขจรเฉลิมศักดิ์ นายกสมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย กล่าวว่า ยังคงซื้อหัวมันสำปะหลังตามปกติ แต่ที่ราคาตํ่าเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าในรอบ 30 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้องปรับราคารับซื้อจากเกษตรกร ซึ่งก็ต้องยอมรับสภาพ

ขณะที่ปัจจุบันโรงงานแป้งมันจากจีน ได้ไปลงทุนที่ สปป.ลาวจำนวนมากจากราคาหัวมันฯถูกกว่า และค่าแรงก็ถูกกว่า ณ ปัจจุบันมีถึง 20 โรงงานแล้วที่เข้าไปลงทุน และมีแผนเพิ่มถึง 30 โรงงาน ถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่ยังมั่นใจว่าลูกค้าจะยังซื้อแป้งมันสำปะหลังจากไทยต่อเนื่อง จากยังเชื่อถือในคุณภาพ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

สมาคมฯ มัน เผยผลสำรวจรอบ 1 ปี โรคใบด่างทุบรายได้เกษตรกร สูญ 3.5 หมื่นล้าน

สมาคมฯ มัน เผยผลสำรวจรอบ 1 ปี โรคใบด่างทุบรายได้เกษตรกร สูญ 3.5 หมื่นล้าน

02nd Oct 2024 General Information

4 สมาคมฯ มัน เผยผลสำรวจรอบ 1 ปี โรคใบด่างทุบรายได้เกษตรกร สูญ 3.5 หมื่นล้าน หลังชงของบแก้ 850 ล้าน ปลูกพันธุ์ต้านทานโรค ถูกเมินปัดตก ทำให้โรคลามมากกว่า 4 ล้านไร่ “ทีดีอาร์ไอ” แนะจำกัดพื้นที่ควบคุม ป้องอุตฯ ห่วงโซ่ทั้งระบบ จากโรคนี้ปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ กำจัดไม่ได้

นายบุญชัย ศรีชัยยงพานิช ประธานคณะสำรวจติดตามภาวะการผลิตมันสำปะหลังฤดูการผลิตปี 2567/68 รายงานผลการสำรวจของ 4 สมาคม คือ สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย และ สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมสังเกตการณ์ หลังมีการลงพื้นที่สำรวจผลผลิตภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง รวม 54 จังหวัด ระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม-3 สิงหาคม 2567 ,วันที่ 31 สิงหาคม-4 กันยายน 2567 และวันที่ 20-26 กันยายน 2567

“คณะสำรวจฯ พบว่าพื้นที่เก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้น จากปี 2566/67 จาก 8 ล้านไร่ เป็น 8.1 ล้านไร่ หรือร้อยละ 1.7 ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ คาดว่าลดลง จากปี 2566/67 จาก 2.71 ตัน เป็น 2.70 ตัน ส่วนผลผลิตรวมคาดว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2566/67 จาก 21.82 ล้านตัน เป็น 22.14 ล้านตัน หรือร้อยละ 1.49″

นายบุญชัย กล่าวว่า พื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เพราะช่วงต้นฤดูการผลิตราคาหัวมันสำปะหลังอยู่ในระดับสูง จูงใจให้เกษตรกรมีการขุดหัวมันก่อนครบอายุ และนำต้นพันธุ์อ่อนแอไปปลูกต่อและมีการขยายพื้นที่เพาะปลูก บางพื้นที่เจอภัยแล้งมีการปลูกซ่อมหลายครั้ง ทำให้ขาดแคลนท่อนพันธุ์จึงใช้พันธุ์ติดโรคใบด่างมาปลูก บางพื้นที่ไปปลูกพืชอื่นแทน หรือปล่อยพื้นที่ว่างเปล่าเพื่อรอการเพาะปลูกมันสำปะหลังในช่วงปลายฝน

สำหรับปัญหาเกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดความเสียหายจากโรคใบด่าง เนื่องจากราคาหัวมันที่สูง จึงไม่ให้ข้อมูลการพบโรคใบด่างในแปลง เพราะเกรงว่าจะต้องทำลายต้นมันสำปะหลังโดยไม่ได้รับการชดเชย อีกทั้งเกษตรกรไม่ทราบวิธีการบริหารจัดการ วิธีการทำลายและจัดการต้นที่ติดโรคทำให้ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้

นอกจากนี้เกษตรกรส่วนใหญ่เปลี่ยนพฤติกรรมการขุดหัวมันสำปะหลังไทย โดยการจ้างบริการรับขุดหัวมันและขนส่งในอัตราค่าจ้างต่อน้ำหนัก ส่งผลให้เกษตรกรและผู้บริการขุดหัวมันสำปะหลังไม่คำนึงถึงคุณภาพ จึงมีดินทรายที่ติดไปกับหัวมันสำปะหลังจำนวนมาก อีกทั้งส่งผลให้แร่ธาตุในหน้าดินติดไปกับหัวมันสำปะหลัง

นายบุญชัย กล่าวอีกว่า คณะสำรวจฯ พบว่าพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ทนทานต่อการติดโรคใบด่างมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันศักยภาพการผลิตและขยายพันธุ์ต้านทาน พันธุ์ทนทานของทางภาครัฐและเอกชนยังมีน้อยมาก ไม่สามารถนำมาทดแทนพันธุ์ที่ติดโรคใบด่างได้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ ซึ่งควรเร่งส่งเสริมให้เกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจและรับรู้ถึงการจัดการ กำจัดและควบคุมการระบาดของโรคส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งทำให้เชื้อแป้งโดยเฉลี่ยลดลงจากภาวะปกติ

สอดคล้องกับนายสุรพงษ์ แสงศิริพงษ์พันธ์ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิกองทุนมันสำปะหลัง กล่าวถึงงานสัมมนา เรื่อง “มหันตภัยโรคใบด่าง วิกฤตมันสำปะหลังไทย …ไม่มีทางรอด” มีวัตถุประสงค์หลังในการสร้างความตระหนักรู้ถึงการระบาดของโรคใบด่างในมันสำปะหลัง การแพร่กระจายไปในพื้นที่ทั่วประเทศจนเกินที่จะสามารถควบคุมได้ ได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย

รวมถึงเกษตรกรที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมากหากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคใบด่างฯ ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจะทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกและเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวมได้ งานสัมมนานี้จึงเป็นเวทีที่สำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้เกี่ยวข้องของทุกภาคส่วนได้มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิด วิเคราะห์สถานการณ์ และหาแนวทางป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคใบด่างในมันสำปะหลัง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง

นายธำรงเดช อินทนิเวศน์ อุปนายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวถึงปัญหาโรคใบด่างว่า ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มทวีคูณแบบก้าวกระโดด ซึ่งก่อนหน้านี้ ทาง 4 สมาคมได้ส่งหนังสือไปเพื่อของบประมาณจากภาครัฐ 852 ล้านบาท แต่เรื่องติดอยู่ที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสําปะหลัง (นบมส.) ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2567 ในคณะนี้มีกรมการค้าภายในเป็นเลขานุการ ได้ส่งเรื่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีประชุมเลย

“หากนับถอยหลังไป 7 ปีที่แล้ว ผลผลิตหัวมันสำปะหลัง เหลือ 2.2 ตันต่อไร่ เกษตรกรเกิดปัญหาโรคใบด่าง ทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้จากการผลิตหัวมันสำปะหลัง จาก 35 ล้านตัน วันนี้ เหลือ 22 ล้านตัน ผลผลิตหัวมันหายไป 13 ล้านตัน โดยคิดราคาหัวมันที่ 3 บาท/กิโลกรัม มูลค่าที่สูญหายไปกว่า 39,000 ล้านบาท

ยังไม่นับรวมการส่งออกอุตสาหกรรม ทำให้รายได้เข้าประเทศสูญหาย เพราะโรคใบด่างฯทำให้หัวเชื้อแป้งลดลง 2-3% และการผลิตแป้งต้องใช้หัวมันเพิ่มมากขึ้นอีก 10% โดยสรุปโรคใบด่างมันสำปะหลัง มีทางรอด หากรัฐบาลใช้เงินลงทุนขยายพันธุ์ทนทานและพันธุ์ต้านทาน เนื้อที่ 9 ล้านไร่ ( คิดคำนวณ ที่ 1 ไร่ ใช้ประมาณ 1,600 ท่อน/ไร่ หรือ 400 ลำ/ไร่) ต้องใช้ท่อนพันธุ์ทั้ง 3,600 ล้านลำ เข้าไปในพื้นที่มีการระบาดให้เร็วที่สุด

“วันนี้คณะอนุกรรมการฯ แก้โรคใบด่างฯ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งมา 2 ชุดแล้ว ล่าสุดทางกรมส่งเสริมส่งเสริมการเกษตร(กสก.) ปี 2568 มีแผนที่จะขยาย และกระจายต้นพันธุ์ 3 ช่องทาง เสนอคณะกรรมการนโยบาย และบริหารจัดการมันสำปะหลัง(นบมส.) ขยายให้ได้ 2,600 ไร่ โดยของกลาง 852 ล้านบาท ซึ่งแยกเป็น 1. ขยายพันธุ์ทนทาน ประมาณ 200 ล้านบาท 2. ขยายพันธุ์ต้านทาน ประมาณ 200 ล้านบาท 3. ระบบน้ำ และอื่น ๆ ประมาณ 450 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธาน นบมส. โดยตำแหน่งเพื่อช่วยเหลืองบประมาณในการแก้ปัญหาครั้งนี้โดยเร็วที่สุด”

รศ.ดร.วิจารณ์ วิชชุกิจ กรรมการมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันพบการระบาดของโรคใบด่างทุกจังหวัดที่ปลูกมัน มีพื้นที่รวม มากว่า 4 ล้านไร่ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยมีทางรอดแล้ว ทางมูลนิธิฯ รีบขยายพันธุ์ทันที แล้วก็เปิดตัวงานอย่างยิ่งใหญ่ ในการเปิดตัว 3 พันธุ์ใหม่ ได้แก่ อิทธิ 1 ,อิทธิ2 และอิทธิ 3และเมื่อได้พันธุ์ต้านทานแล้วก็ต้องรีบขยายส่งต่อให้เกษตรกร เปลี่ยนเป็นพันธุ์ต้านทานให้เร็วที่สุด แต่ทำไมรัฐบาลยังเมินเฉย แล้วไวรัสตัวนี้ไม่มียารักษา

“เข้าใจว่าการใช้งบกลาง รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายตามที่ได้สัญญากับประชาชนไว้ก็คือโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้ไม่อนุมัติงบตามที่ร้องขอไป ทางมูลนิธิฯขอความร่วมมือให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย ใน 2-3 ปีแรกการขยายพันธุ์ควรให้เกษตรกรนำพันธุ์ไปปลูกทดสอบ และต้นพันธุ์ที่ได้ควรกระจายให้ญาติพี่น้องและเพื่อนเกษตรกรด้วยกันไม่ควรนำมาจำหน่าย (ปัจจุบันมีการขายท่อนพันธุ์ละ 25 บาท) เป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกษตรกรต้องมาลงทุนซื้อ เพราะวัตถุประสงค์ของมูลนิธิชัดเจน “แจกฟรี”

ด้าน รศ. ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า โรคใบด่างมันสำปะหลังกำจัดยาก เป็นไวรัส เหมือนโควิด แต่ไวรัสโควิดยังโชคดี เพราะมีมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พัฒนาวัคซีน ChAdOx1 nCoV-19 ได้สำเร็จ แต่โรคใบด่างฯ มีแมลงหวี่ เป็นตัวพาหนะนี่คือปัญหา และในบ้านเราปัญหาใหญ่ก็คือระบบราชการอ่อนแอ ไม่กล้าแจ้งเตือน ปกปิด ก็ยิ่งทำให้ในพื้นที่มีการระบาดมากขึ้น และรัฐไม่มีข้อมูลพื้นที่โรคใบด่างที่ถูกต้องทำให้การประมาณการผลผลิต/พื้นที่เก็บเกี่ยวขาดความน่าเชื่อถือ

ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ และเมื่อไม่รู้ขนาดของปัญหารัฐไม่สามารถแจ้งเตือนชาวไร่ในพื้นที่เสี่ยง ไม่สามารถประกาศได้ว่าพันธุ์ใดอ่อนแอเสี่ยงต่อการติดโรค ทำให้ชาวไร่บางรายใช้พันธุ์ติดเชื้อ

โดยสรุปข้อเสนอแนะ คือ1.งานเร่งด่วน ให้ผลิตท่อนพันธุ์ (อิทธิ 1 ,2) ต้านทาน และทนทาน เผยแพร่เร็วที่สุด ต้องจัดสรรงบเพิ่ม 2.ระยะกลาง ปรับปรุงพันธุ์ต้านทานให้มีผลผลิตต่อไร่/คุณภาพสูงขึ้น และที่สำคัญควบคุมแมลงหวี่ ด้วยวิธีสารชีวพันธุ์ ต่อยอดงานวิจัยของโครงการหลวง แล้วถ้าไม่ได้ผลจริง ก็แนะนำเกษตรกรปลูกพืชสลับ ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกรในการตัดโรคใบด่างฯ

“ขอให้มีการทบทวนเพิ่มค่าชดเชยให้เกษตรกรมีแรงจูงใจขจัดต้นมันสำปะหลังติดเชื้อ โดยอาจกำหนดเป็นเงื่อนไขกับเกษตรกรที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ (ที่เดิมไม่เคยมีเงื่อนไข) และให้ตั้งศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน พัฒนาศักยภาพผู้นำ/ผู้ปฏิบัติงานในระบบเฝ้าระวัง รวมทั้งเพิ่มการสนับสนุนระบบวิจัยปรับปรุงพันธุ์ต่อเนื่อง 3-5 ปี เป็นต้น

ดังนั้นต้องเร่งแก้ปัญหา รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณมาแบบจริงจัง ช่วยแก้ปัญหาระยะสั้น กล่าวคือ สามารถผลิตมันพันธุ์ใหม่สำเร็จแล้ว ก็ได้ระยะสั้น เดี๋ยวเชื้อโรคก็ปรับตัวได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการควบคุมไวรัสตัวนี้ให้อยู่ในพื้นที่จำกัด ซึ่งไม่มีทางหมดสิ้น และไม่มีวันสิ้นสุด แม้วันนี้เราจะมีพันธุ์ต้านแล้ว แต่พันธุ์ต้านไม่ 100% เดี๋ยวพันธุ์ต้าน ก็เลิกต้าน ธรรมชาติจะเป็นแบบนี้

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

“พิชัย” พร้อมหนุน 4 สมาคมมันสำปะหลังแก้วิกฤตโรคใบด่าง ช่วยเหลือชาวสวนมัน และอุตสาหกรรมการเกษตร

“พิชัย” พร้อมหนุน 4 สมาคมมันสำปะหลังแก้วิกฤตโรคใบด่าง ช่วยเหลือชาวสวนมัน และอุตสาหกรรมการเกษตร

27th Sep 2024 General Information

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “มหันตภัยโรคใบด่าง วิกฤตมันสำปะหลังไทย..ไม่มีทางรอด” ที่โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต วานนี้ (26 ก.ย.67) ซึ่งจัดโดยความร่วมมือระหว่างสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทยและสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัญหาโรคใบด่างที่กำลังระบาดในต้นมันสำปะหลังทั่วประเทศ

นายพิชัย กล่าวว่า ขอขอบคุณ 4 สมาคมมันสำปะหลังไทย ที่จัดให้มีการสัมมนาในวันนี้ ได้รับคำเชิญให้มาช่วยแก้ปัญหานี้ ตนอยู่กระทรวงพาณิชย์จะรับไปประสานกับรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นวิกฤตที่กระทบต่อเศรษฐกิจการเกษตรของไทยอย่างรุนแรง โดยไทยเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ของโลก การที่โรคใบด่างแพร่ระบาดไปทั่วพื้นที่ จะสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรกระทบต่อรายได้

งานสัมมนาฯวันนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายสาขา อาทิ ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการเกษตรและการวิจัย มาช่วยให้ข้อมูลเสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นประโยชน์ เพื่อร่วมกันหาทางป้องกันและแก้ไขวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นเวทีสำคัญในการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาโรคใบด่างในมันสำปะหลังอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม

“กระทรวงพาณิชย์ และทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้การสนับสนุนในทุกด้านที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังและการเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร รวมถึงการวิจัยและพัฒนาตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประเทศไทยของเราสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างเข้มแข็งต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ด้านนายสุรพงษ์ แสงศิริพงษ์พันธ์ นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า การจัดงานสัมมนาฯครั้งนี้ เพื่อตระหนักถึงปัญหาการระบาดของโรคใบด่างในมันสำปะหลังซึ่งขณะนี้ได้แพร่กระจายไปในพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศจนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย และเกษตรกรที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วนจะทำให้ผลผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง และสำคัญอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

งานนี้จึงเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนแลกเปลี่ยนวิเคราะห์สถานการณ์หาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาโลกใบด่างในมันสำปะหลัง ให้ไทยข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง

ที่มา : กระทรวงพาณิชย์

จีนลุยพัฒนาข้าวโพด GMO เพิ่มผลผลิตในประเทศ สนค.แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัว

จีนลุยพัฒนาข้าวโพด GMO เพิ่มผลผลิตในประเทศ สนค.แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัว

02nd Jul 2024 General Information

สนค. ติดตามสถานการณ์ข้าวโพด GMO ของประเทศจีน เร่งเพิ่มผลผลิตในประเทศหนุนการปลูกในพื้นที่ 8 มณฑล และคาดการณ์ว่าปี 67 พท้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 4.17 – 6.25 ล้านไร่ แนะผู้ประกอบการไทยเตรียมรับมือผลกระทบส่งออกมันสำปะหลังเร่งปรับตัวธุรกิจ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ได้ติดตามสถานการณ์การวิจัยและพัฒนาข้าวโพด GMO ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งประสบความสำเร็จในด้านการวิจัยดังกล่าวครั้งแรกในปี 2540 โดยสามารถวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพดที่ต้านทานแมลงศัตรูพืชได้ และจีนได้ดำเนินการวิจัยด้านดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้เริ่มเปิดให้มีการนำเข้าข้าวโพด GMO มาตั้งแต่ธันวาคม 2563

ทั้งนี้ปี 2566 จีนเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวโพด อันดับ 1 ของโลก มีปริมาณ 27.14 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 9,017.99 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26.99% จากปีก่อนหน้า โดยมีการนำเข้าจากประเทศบราซิลและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นผู้ผลิตข้าวโพดซึ่งใช้พันธุ์ข้าวโพด GMO ที่สำคัญของโลก และในปีเดียวกันจีนมีผลผลิตข้าวโพดในประเทศรวม 288.84 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.7% ส่วนปี 67-68 คาดว่าจีนจะมีปริมาณผลผลิตข้าวโพดอยู่ที่ 296 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.4%

จะเห็นว่าปริมาณผลผลิตข้าวโพดภายในประเทศของจีนยังไม่เพียงพอกับความต้องการ จีนยังต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวโพดเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ ทั้งการวิจัยและพัฒนาข้าวโพด GMO ของจีน เพื่อการต่อสู้กับโรคและศัตรูพืช และต้องการเพิ่มปริมาณข้าวโพดเพื่อความมั่งคงด้านอาหารและการส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านธัญพืช ลดการใช้ยาฆ่าแมลง ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการเพาะปลูก

ซึ่งเป็นไปตามทิศทางการพัฒนาด้านการเกษตรภายในประเทศที่สำคัญตามแผนพัฒนาระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 ของจีน และล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2567 จีนได้ออกประกาศรายการข้าวโพด GMO 37 สายพันธุ์ จาก 24 บริษัทและหน่วยงานวิจัย ที่สามารถนำไปเพาะปลูกได้ใน 8 มณฑลของจีน ประกอบด้วย

  • มองโกเลียใน
  • กานซู
  • เหอเป่ย
  • จี๋หลิน
  • เหลียวหนิง
  • กว่างซี
  • เสฉวน
  • ยูนนาน

ซึ่งใน 4 มณฑลแรก สามารถทำการเพาะปลูกข้าวโพด GMO ได้ในทุกพื้นที่ จึงคาดว่าจีนจะมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพด GMO เพิ่มขึ้นเป็น 4.17 – 6.25 ล้านไร่ ในปี 67

และล่าสุด รัฐบาลจีนได้เอกสารแนวทางการพัฒนาชนบท และภาคการเกษตรของจีน โดยปี 2567 มีการกำหนดแนวนโยบายการพัฒนาเขตพื้นที่ชนบทอย่างครอบคลุม ที่มุ่งเน้นการยกระดับผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลือง บนพื้นฐานการวิจัยพัฒนา และการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในการผลิตพืชอาหารที่สำคัญของประเทศ

แนวนโยบายดังกล่าวจึงเป็นการเน้นย้ำว่าจีนจะพัฒนาการใช้ข้าวโพด GMO เพื่อความมั่นคงทางอาหารและการยกระดับผลผลิตในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าธัญพืช แม้ปัจจุบันพื้นที่การเพาะปลูกข้าวโพด GMO ของจีนจะมีไม่ถึง 1% ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดทั้งประเทศ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 276.37 ล้านไร่ และคาดการณ์ว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพด GMO ของจีนในช่วงปี 2568 – 2570 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10 – 15% ต่อปี

“ถึงแม้ข้าวโพดจะไม่ใช่สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย แต่ข้าวโพดเป็นสินค้าทดแทนมันสำปะหลังที่สามารถนำไปใช้ในการผลิตอาหารสัตว์และเอทานอล ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นอันดับหนึ่งของโลก และจีนเองก็เป็นตลาดมันสำปะหลังที่สำคัญของไทย การที่จีนจะหันมาใช้ข้าวโพด GMO เพื่อการเพิ่มผลผลิตภายในประเทศให้เพียงพอกับความต้องการ อาจกระทบต่อความต้องการมันสำปะหลัง ดังนั้น จึงควรหาแนวทางเพื่อสอดรับกับสถานการณ์ดังกล่าวที่มีแนวโน้มอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ลดการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ตลาด ซึ่งไทยมีตลาดจีนเป็นตลาดส่งออกมันเส้นที่สำคัญมาอย่างต่อเนื่อง” นายพูนพงษ์กล่าว

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

เฝ้าระวังหนอนกระทู้หอม ระบาดกัดกินมันสำปะหลัง

เฝ้าระวังหนอนกระทู้หอม ระบาดกัดกินมันสำปะหลัง

25th Jun 2024 General Information

จากการที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับรายงานจากเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี พบการระบาดของหนอนกระทู้หอมกัดกินต้นมันสำปะหลัง ในพื้นที่ อ.พนมทวน, อ.ห้วยกระเจา และ อ.บ่อพลอย รวมพื้นที่การระบาด กว่า 7 พันไร่ เกษตรกรกว่า 600 ราย

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร แนะวิธีปฏิบัติสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เมื่อพบตัวหนอนหรือกลุ่มไข่ในแปลงให้เก็บ และนำมาทำลาย พร้อมกำจัดวัชพืชที่อยู่ในแปลงและบริเวณรอบแปลง

สำหรับฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ให้เลือกใช้สารชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น คลอฟีนาเพอร์ 10% SC (กลุ่ม 13) หรือ อินดอกซาคาร์บ 15% EC (กลุ่ม 22) หรือ อิมาเมกติน เบนโซเอต 1.92% W/V EC หรือ 5% WG (กลุ่ม 6) หรือ คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% (กลุ่ม 28)

“หลังจากพ่นสารเคมีแล้ว 1-2 วัน เกษตรกรต้องสำรวจแปลง หากยังพบการระบาดของหนอนกระทู้ให้พ่นสารเคมีซ้ำ และควรสลับกลุ่มสารเคมี เพื่อป้องกันการดื้อยา หากการระบาดของหนอนลดลง ให้ควบคุมด้วยชีวภัณฑ์ โดยฉีดพ่นเชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ทูริงเยนซิส (Bt) อัตรา 80 มิลลิลิตรผสมน้ำ 20 ลิตร หรือไวรัส NPV ของหนอนกระทู้หอม อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7-10 วัน หลังจากฉีดพ่นสารเคมีแล้ว 15 วัน”

สำหรับพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังที่ยังไม่พบการระบาด อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำวิธีการป้องกันกำจัดแบบผสมผสาน ด้วยการใช้วิธีเขตกรรม เช่น การไถตากดิน และการเก็บเศษซากพืชอาหาร เพื่อกำจัดดักแด้และลดแหล่งอาหารในการขยายพันธุ์ ร่วมกับวิธีกล โดยการเก็บกลุ่มไข่ และหนอนทำลาย พร้อมทั้งใช้แมลงศัตรูธรรมชาติ ที่พบเข้าทำลายหนอนกระทู้หอม ได้แก่ มวนพิฆาต แมลงหางหนีบ

ใช้สารสกัดสะเดา อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 3 วัน 3-4 ครั้งต่อเนื่อง ใช้เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ทูริงเยนซิส (Bt) อัตรา 100 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 3-5 วัน เมื่อพบการระบาด หากมีการระบาดรุนแรงให้พ่นติดต่อกัน 2 ครั้ง หลังจากนั้นพ่นทุก 5 วัน จนกระทั่งหนอนลดปริมาณการระบาด ใช้ไวรัส NPV ของหนอนกระทู้หอม อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7-10 วัน ควรพ่นเมื่อหนอนมีขนาดเล็กจะให้ผลในการควบคุมได้รวดเร็ว กรณีหนอนระบาดรุนแรงให้พ่นวันเว้นวัน

ส่วนการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยเลือกสารชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น คลอฟีนาเพอร์ 10% SC (กลุ่ม 13) หรือ อินดอกซาคาร์บ 15% EC (กลุ่ม 22) หรือ อิมาเมกติน เบนโซเอต 1.92% W/V EC หรือ 5% WG (กลุ่ม 6) หรือ คลอแรนทรานิลิโพรล 5.17% SC (กลุ่ม 28).

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

คลอดแล้ว “มาตรการชะลอเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง” ปี 2566/67 เริ่มวันนี้

คลอดแล้ว “มาตรการชะลอเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง” ปี 2566/67 เริ่มวันนี้

15th May 2024 General Information

ครม. เห็นชอบ มาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67 เริ่มต้นโครงการแล้วตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 เมษายน 2568 ธ.ก.ส. พร้อมจัดสินเชื่อกับเกษตรกร ครัวเรือนละไม่เกิน 50,000 บาท

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบมาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67 วงเงินงบประมาณ 56.96 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ เริ่มต้นโครงการแล้วตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 เมษายน 2568 โดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะให้สินเชื่อกับเกษตรกร ครัวเรือนละไม่เกิน 50,000 บาท หรือ ไม่เกิน 20 ไร่/ครัวเรือน ไร่ละไม่เกิน 2,500 บาท

สำหรับมาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67 มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลเกษตรกรให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการเพาะปลูก โดยการชะลอการเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ผ่านพ้นช่วงแล้ง ให้ได้รับฝนซึ่งจะทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นและเปอร์เซ็นต์แป้งสูงขึ้น

รวมทั้งช่วยเหลือให้เกษตรกรมีเงินหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว โดยได้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรและยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูการผลิตปี 2566/67 ประมาณ 65,100 ครัวเรือน

สำหรับมีวิธีดำเนินการตามมาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67 ธ.ก.ส. จะเปิดให้เกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการ จากนั้น ธนาคารจะตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกประเมินพื้นที่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวและให้สินเชื่อแก่เกษตรกร ครัวเรือนละไม่เกิน 50,000 บาท โดยมีวงเงินสินเชื่อรวม 3,255 ล้านบาท

ระยะเวลาโครงการ
– เริ่มตั้งแต่วันที่ครม.มีมติอนุมัติ ถึง 30 เมษายน 2568 กำหนด

ระยะเวลาสมัครเข้าร่วมโครงการ
– ภายใน 30 มิถุนายน 2567

ระยะเวลาจ่ายสินเชื่อ
– เริ่มตั้งแต่วันที่ครม.มีมติอนุมัติ ถึง31 กรกฎาคม 2567

ระยะเวลาชดเชยดอกเบี้ย
– เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันรับสินเชื่อแต่ไม่เกิน 31 มกราคม 2568

นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบการรักษาเสถียรภาพราคาหัวมันสด ปี 2566/67 เพื่อให้การกำกับดูแลมันสำปะหลังเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรและเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยมอบหมายคณะอนุกรรมการบริหารจัดการศัตรูมันสำปะหลังบริหารจัดการศัตรูมันสำปะหลังรับไปพิจารณาดำเนินการปรับแผนการขยายท่อนพันธุ์ให้ครอบคลุมพื้นที่ระบาดภายในปี 2569 ทั้งพันธุ์ต้านทานโรค (พันธุ์ที่มีภูมิคุ้มกัน ไม่ติดโรค) และพันธุ์ทนทานต่อโรค (พันธุ์ที่มีความแข็งแรง ติดโรคได้ยาก แต่ยังติดโรคได้)

รวมทั้งการส่งเสริมการเพาะปลูกด้วยระบบน้ำหยดเพื่อเพิ่มผลผลิตและรองรับการขยายท่อนพันธุ์ โดยจัดทำรายละเอียดโครงการ แผนดำเนินการกรอบวงเงินงบฯ และแหล่งเงินก่อนเสนอ คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ต่อไป

ขณะเดียวกันยังมอบหมายกรมศุลกากร กำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทั้งการนำเข้าทางด่านถาวรและจุดผ่อนปรน ให้เป็นไปตามระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประสานความร่วมมือหน่วยงานด้านความมั่นคง ป้องกัน สกัดกั้น การลักลอบนำเข้าทางช่องทางธรรมชาติอย่างเข้มงวด และให้กรมการค้าต่างประเทศ เข้มงวดตรวจสอบมาตรฐานมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่นำเข้าและส่งออกให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด

สำหรับสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลังปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประเมินว่า ณ เดือนมีนาคม 2567 โดยมีผลผลิตทั้งประเทศ 26.88 ล้านตัน ลดลง 3.74 ล้านตัน เนื่องจากขาดแคลนท่อนพันธุ์ สภาวะอากาศร้อน/แล้ง รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดโรคใบด่าง เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง โดยผลผลิตกระจุกตัวช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปัจจุบันเก็บเกี่ยวแล้ว 23.50 ล้านตัน

ส่วนราคาในประเทศ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 มันสำปะหลัง เชื้อแป้ง 25% มีราคาอยู่ที่ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม, มันเส้น มีราคาอยู่ที่ 7.43 และแป้งมัน มีราคาอยู่ที่ 18.85 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคามีแนวโน้มลดลงเนื่องจากเกษตรกรบางส่วนเร่งขุดผลผลิตที่ไม่ครบอายุออกจำหน่าย ประกอบกับสภาวะอากาศร้อนจัดส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงและมีเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งต่ำ สำหรับราคาส่งออกมันเส้นอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และแป้งมันอยู่ที่ 20.59 บาทต่อกิโลกรัม

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

เริ่มแล้ว!! พันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่าง กรมส่งเสริมการเกษตร เร่งเพาะขยายกล้า เป้า 2.4 แสนต้น ภายใน 3 เดือน

เริ่มแล้ว!! พันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่าง กรมส่งเสริมการเกษตร เร่งเพาะขยายกล้า เป้า 2.4 แสนต้น ภายใน 3 เดือน

13th May 2024 General Information

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับหน่วยงานภาคีในการขับเคลื่อนแก้ไขผลกระทบของเกษตรกรจากโรคใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งพบการแพร่ระบาดมาตั้งแต่ ปี 2561 โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ให้ความรู้แก่เกษตรกรและแนะนำวิธีการป้องกันกำจัดตาม มาตรการป้องกัน กำจัด โรคใบด่างมันสำปะหลังมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้สนับสนุนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังทนทานต่อโรคใบด่าง ได้แก่ เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 และระยอง 72 เพื่อลดความรุนแรงของโรคและผลกระทบต่อปริมาณของผลผลิตอันเป็นเหตุให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนน้อยลงจากเดิม

ล่าสุด กรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานและได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (TTDI) สนับสนุนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่าง ได้แก่ พันธุ์อิทธิ 1 อิทธิ 2 และอิทธิ 3 รวมจำนวน 15,000 ลำ ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรกำลังเร่งเดินหน้าผลิตขยายเป็นต้นกล้ามันสำปะหลังสะอาดพันธุ์ต้านทานโรคใบด่าง โดยมีแผนดำเนินการภายในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อผลิตต้นกล้าให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จำนวน 240,000 ต้น จากนั้นจะนำต้นกล้าไปปลูกเพื่อขยายพันธุ์ในพื้นที่ของศูนย์ขยายพันธุ์พืชทั้ง 8 ศูนย์ของกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นเวลา 10 เดือน เพื่อให้ได้ต้นพันธุ์ที่พร้อมเป็นพันธุ์ตั้งต้นสำหรับใช้เพิ่มปริมาณต้นกล้าในปี 2568 ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตร เตรียมแผนประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคี โดยเฉพาะหน่วยงานภาคการศึกษาที่มีเครื่องมือและพื้นที่ในการผลิตขยายพันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคที่มีประสิทธิภาพ โดยจะร่วมกันผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่างตามเป้าหมาย 15 ล้านท่อนในปี 2569 เพื่อให้เพียงพอสำหรับสนับสนุนให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดกว่า 9 ล้านไร่

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรแจ้งเตือนให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ ใช้ท่อนพันธุ์สะอาด ปลอดโรค และทราบแหล่งที่มาของท่อนพันธุ์ ชัดเจน ไม่ควรปลูกพันธุ์อ่อนแอต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง ได้แก่ ระยอง 11 และ CMR 43-08-89 สำหรับเกษตรกรที่ปลูกพันธุ์อ่อนแอแนะนำให้ปรับเปลี่ยนมาใช้พันธุ์ทนทานต่อโรคใบด่าง ได้แก่ เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 และระยอง 72 เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดขของโรคใบด่างมันสำปะหลัง และเตรียมความพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง ที่หน่วยงานภาครัฐจะสนับสนุนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่าง ตลอดจนสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมและช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสำปะหลังที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรในรอบระยะเวลาที่ร่วมโครงการต่อไป ทั้งนี้ หากเกษตรกรต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน

ที่มา : ThaiPR.net

Recent Posts