ทิศทางอนาคตการผลิตมันสำปะหลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทิศทางอนาคตการผลิตมันสำปะหลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทิศทางอนาคตการผลิตมันสำปะหลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความท้าทาย แนวโน้ม และลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์สู่ปี 2050

มันสำปะหลังเป็นพืชอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคเกษตรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยปลูกเป็นหลักเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแป้งอุตสาหกรรม และมีการแข่งขันด้าน การใช้พื้นที่และทรัพยากรโดยตรงกับพืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างข้าวโพด แม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นภูมิภาคผู้ส่งออกมันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่อุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศผู้ผลิตหลักของภูมิภาคกลับมีความหลากหลายและแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของโครงสร้างการผลิต สถานการณ์ปัจจุบัน และศักยภาพการเติบโตในอนาคต

ความเป็นผู้นำของประเทศไทยในระดับภูมิภาค ประกอบกับประวัติความสำเร็จอันยาวนานด้านการปรับปรุงพันธุ์ มันสำปะหลัง ได้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงและได้รับการยอมรับใช้อย่างกว้างขวางในภาคการผลิต อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จดังกล่าวยังหมายความว่า ศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต ในอนาคตมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างจำกัด และอาจเป็นการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดด
ขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยในระดับประเทศของกัมพูชาและอินโดนีเซียยังมีศักยภาพในการเติบโตในระดับปานกลาง เวียดนามกลับสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำด้านประสิทธิภาพการผลิตอย่างเด่นชัดระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปในระยะยาว ส่วนประเทศลาว การขยายพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังไปสู่พื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่า อันเป็นผลจากแรงจูงใจด้านความสามารถในการทำกำไร อาจส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยในระดับประเทศ มีแนวโน้มลดลง

ความต้องการแป้งอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงแนวโน้มเชิงบวกของตลาดในอนาคต อย่างไรก็ดี การผลิตมันสำปะหลังในระยะข้างหน้ายังคงเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะปัญหาศัตรูพืชและโรคพืช ซึ่งถูกระบุว่าเป็นปัจจัยหลักที่คุกคามระดับผลผลิต ขณะเดียวกัน ในบางพื้นที่ สภาพแวดล้อมด้านนโยบายที่ขาดความเป็นระบบ รวมถึงการแข่งขันในการใช้ทรัพยากรที่ดิน ยังคงเป็นแรงกดดันที่ซ้ำเติมความท้าทายในการพัฒนาและขยายการผลิตมันสำปะหลังในระยะยาว

การสร้างความมั่นคงให้กับภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงปี 2050 จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปที่

  • การพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังที่ต้านทานโรค
  • การผลิตและการเข้าถึงวัสดุปลูกที่สะอาดในระดับขนาดใหญ่
  • การติดตามและเฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายวัสดุปลูกข้ามพรมแดน
  • การพัฒนาระบบการรวบรวมข้อมูลภาคสนามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การกำหนดนโยบายระดับชาติที่มีความสอดประสาน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในการปรับใช้พันธุ์ต้านทานโรค ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้น และแนวทางการจัดการแปลงปลูกที่มีความยืดหยุ่นและทนทานต่อความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น

เหตุใดจึงมีความสำคัญ

มันสำปะหลังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจภาคการเกษตรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการเพาะปลูกกระจายอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค (รูปที่ 1) พืชชนิดนี้ถูกปลูกเป็นหลักในฐานะพืชเศรษฐกิจเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการผลิตแป้ง และเป็นองค์ประกอบสำคัญของห่วงโซ่มูลค่าในระดับภูมิภาค อีกทั้งยังมีการแข่งขันโดยตรงกับสินค้าเกษตรหลักอื่น ๆ เช่น ข้าวโพด
ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การผลิตมันสำปะหลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 95 ของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้มันสำปะหลังกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของทั้งเกษตรกรรายย่อยและเศรษฐกิจในระดับประเทศ

จากพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังประมาณ 5 ล้านเฮกตาร์ในเอเชียตะวันออก มากกว่าร้อยละ 99 ยังคงอยู่ในมือของเกษตรกรรายย่อย ทำให้การเพาะปลูกมันสำปะหลังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความยากจนในชนบท ประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังยังมีอิทธิพลโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรม รายได้ของเกษตรกร และรูปแบบการใช้ที่ดินทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งสะท้อนภาพความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างประสิทธิภาพการผลิตในระดับไร่นาและแรงงาน การแปรรูปและความมั่นคงด้านอาหาร ตลาดคาร์โบไฮเดรตโลก ตลอดจนการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน

รูปที่ 1 การกระจายตัวของการผลิตมันสำปะหลังและพื้นที่เก็บเกี่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หมายเหตุ: การแรเงาสีของแต่ละประเทศแสดงถึงปริมาณการผลิตมันสำปะหลัง (ตัน) โดยสีน้ำเงินที่เข้มขึ้นหมายถึงผลผลิตที่สูงกว่า ขนาดของวงกลมแสดงถึงพื้นที่เก็บเกี่ยว (เฮกตาร์)

แนวโน้มการผลิตมันสำปะหลังรายประเทศ

ในปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) องค์กร Alliance of Bioversity-CIAT ได้จัดกระบวนการปรึกษาหารือผู้เชี่ยวชาญขึ้น เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มผลผลิตมันสำปะหลังในอดีต และรวบรวมมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของการผลิตมันสำปะหลังในประเทศผู้ผลิตหลักของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนทั้งสิ้น 5 คน เข้าร่วมการหารือจำนวน 2 ครั้ง เพื่อทบทวนข้อมูลในอดีตและวิพากษ์การคาดการณ์ผลผลิตตามแบบจำลองจนถึงปี 2050 ภายใต้กรอบแนวคิดและระเบียบวิธีเฉพาะที่พัฒนาขึ้นสำหรับการศึกษาครั้งนี้ (Petsakos, 2024)

ผลจากการปรึกษาหารือดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของสภาพการผลิตในภูมิภาค ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปที่ 2 และสามารถระบุทั้งความท้าทายและโอกาสสำคัญจำนวนมากที่ประเทศผู้ผลิตหลักกำลังเผชิญ โดยปัจจัยเหล่านี้จะมีบทบาทอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางและพัฒนาการของภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของภูมิภาคไปจนถึงปี 2050

รูปที่ 2 การเติบโตของผลผลิตมันสำปะหลังในอดีตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความแปรปรวนของผลผลิต
หมายเหตุ: เส้นตรงกึ่งกลางแสดงถึงผลผลิตเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของประเทศผู้ผลิตทั้งหมด ขณะที่แถบพื้นที่รอบเส้นดังกล่าวแสดงถึงค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานถ่วงน้ำหนักของผลผลิตในแต่ละปี

ความท้าทายร่วมในระดับภูมิภาค

แรงกดดันจากศัตรูพืชและโรคพืช: ภัยคุกคามในปัจจุบัน เช่น โรคใบด่างมันสำปะหลัง (Cassava Mosaic Disease: CMD) และ โรคพุ่มแจ้ (Witches’ Broom Disease) รวมถึงความเป็นไปได้ของการระบาดของโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคใบไหม้สีน้ำตาลของมันสำปะหลัง (Cassava Brown Streak Disease: CBSD) (Tomlinson, Bailey, Alicai, Seal และ Foster, 2018) กำลังสร้างความกังวลอย่างมากทั่วทั้งภูมิภาค

CMD ถูกตรวจพบครั้งแรกในภูมิภาคนี้ในปี 2015 จากการปนเปื้อนในท่อนพันธุ์ และนับแต่นั้นมาได้แพร่กระจายไปในพื้นที่ส่วนใหญ่ของลาว กัมพูชา เวียดนาม และประเทศไทย (Minato และคณะ, 2019; Saokham และคณะ, 2021; Siriwan และคณะ, 2020) นอกจากนี้ โรคพุ่มแจ้ และอาจรวมถึง CBSD กำลังกลับมาเป็นภัยคุกคามสำคัญอีกครั้ง ซึ่งอาจซ้ำเติมให้ความก้าวหน้าด้านผลผลิตที่เคยเกิดขึ้นต้องถดถอย หากไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม (Leiva และคณะ, 2023; Pardo และคณะ, 2023)

ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งแสดงความกังวลว่าแรงกดดันดังกล่าวอาจลดลงได้ยากในประเทศไทย และชี้ให้เห็นว่าการคาดการณ์ผลผลิตในระดับสูงอาจไม่สามารถบรรลุได้ในทางปฏิบัติ

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล: ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่าความท้าทายสำคัญประการหนึ่งคือการขาดแคลนและคุณภาพที่ต่ำของข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการ ทั้งในระดับประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับย่อยของพื้นที่ (ระดับจังหวัด/ท้องถิ่น) ข้อมูลผลผลิตในอดีตจาก FAOSTAT (FAOSTAT คือฐานข้อมูลสถิติด้านอาหารและการเกษตรของโลก พัฒนาและดูแลโดย องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO – Food and Agriculture Organization of the United Nations) สำหรับประเทศอย่างกัมพูชาและอินโดนีเซีย ถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ถูกต้อง โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่าตัวเลขเหล่านี้มักคำนวณจากข้อมูลการค้าที่ไม่สมบูรณ์และขาดการตรวจสอบภาคสนาม

การปรับปรุงระบบติดตามและเฝ้าระวังข้อมูลการผลิตและการค้ามันสำปะหลังในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยเอื้อให้สามารถจัดทำการคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ และนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

นโยบายและธรรมาภิบาล: ในหลายพื้นที่ของภูมิภาค ภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังพัฒนามาจนถึงปัจจุบันภายใต้บริบทด้านสถาบันที่อ่อนแอและขาดการสนับสนุนเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ ในประเทศอินโดนีเซีย สภาพแวดล้อมด้านนโยบายที่ “ขาดความเป็นระเบียบและความชัดเจน” ถูกระบุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

ขณะที่ในเวียดนาม ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะห้าปีของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ ในการระดมทรัพยากรเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนโยบาย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนเสมอไปว่าความพยายามดังกล่าวประสบความสำเร็จเพียงใดในการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้

การแข่งขันด้านทรัพยากรและตลาด: มันสำปะหลังมักถูกมองว่าเป็นพืชที่ใช้ปัจจัยการผลิตต่ำในหลายพื้นที่ของภูมิภาค ส่งผลให้มีการใช้วัสดุปรับปรุงดิน ปุ๋ย หรือเทคโนโลยีอนุรักษ์ดินค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในชุมชนชนบทที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร

ในประเทศไทยและเวียดนาม มันสำปะหลังมีการแข่งขันโดยตรงกับข้าวโพดและพืชไร่บนพื้นที่สูงชนิดอื่น ๆ ในการใช้ที่ดินและทรัพยากร ขณะที่ในอินโดนีเซีย ภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลังแบ่งออกเป็นสองตลาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ตลาดอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง และตลาดเพื่อการบริโภคที่ให้ผลผลิตต่ำ พลวัตเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกรและต่อการเติบโตของประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม

นัยเชิงนโยบาย

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: ในฐานะวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมแป้ง หากผลผลิตมันสำปะหลังลดลง อาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่อห่วงโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค

ผลกระทบต่อวิถีชีวิต: ในพื้นที่ที่มันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก การไม่สามารถแก้ไขปัจจัยที่จำกัดผลผลิตได้อย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อยนับล้านครัวเรือน

ความเสี่ยงด้านนโยบายและการลงทุน: ความไม่น่าเชื่อถืออย่างแพร่หลายของข้อมูลสถิติภาคเกษตรอย่างเป็นทางการ ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้กำหนดนโยบายและผู้ให้ทุนสนับสนุน เนื่องจากการตัดสินใจต้องอาศัยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและขาดความเข้าใจที่เพียงพอเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของข้อมูล ส่งผลให้ความพยายามในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานขาดประสิทธิผล

ลำดับความสำคัญด้านการวิจัย: ความท้าทายเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการวิจัยและพัฒนา โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงพันธุ์ที่ต้านทานศัตรูพืชและโรคพืช นวัตกรรมด้านระบบเมล็ดพันธุ์เพื่อให้พันธุ์ใหม่และท่อนพันธุ์สะอาดเข้าถึงได้อย่างแพร่หลาย รวมถึงแนวทางการจัดการด้านวิชาการเกษตรที่เหมาะสมกับระบบการผลิตที่แตกต่างกัน (เช่น ระบบอุตสาหกรรมที่ให้ผลผลิตสูง เทียบกับระบบเพื่อการบริโภคที่ใช้ปัจจัยการผลิตต่ำ)

ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม: สภาพการผลิตที่มีประสิทธิภาพต่ำและการชะล้างพังทลายของหน้าดินในพื้นที่ที่ปลูกมันสำปะหลังบนภูมิประเทศที่ไม่เหมาะสม (เช่น พื้นที่ลาดชันทางภาคเหนือ) รวมถึงปัญหาดินเค็มในภาคใต้ของเวียดนาม อันเนื่องมาจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อการผลิตในระบบชลประทานของจังหวัดเตนินห์

ข้อเสนอแนะและแนวทางการดำเนินการ

เสริมสร้างการจัดการศัตรูพืชและโรคพืช: เร่งรัดการวิจัย พัฒนา และกระจายพันธุ์มันสำปะหลังที่ต้านทานโรค ซึ่งเหมาะสมกับสภาพตลาดและระบบการผลิตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการลงทุนในการเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่ด้านสุขอนามัยพืช เพื่อยกระดับระบบเฝ้าระวังและการตรวจพบโรค ในระยะเริ่มต้นในพื้นที่จริง รวมถึงการจัดทำกลยุทธ์ระดับภูมิภาคที่มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบในการจัดการและควบคุมการระบาด โดยเฉพาะการประสานความร่วมมือในการติดตามและกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายวัสดุปลูกข้ามพรมแดน

ปรับปรุงการเก็บรวบรวมและการติดตามข้อมูล: จำเป็นต้องมีความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคในการพัฒนาระบบสถิติการเกษตรที่มีความเข้มแข็งและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูก ปริมาณการผลิต และผลผลิต ต่อหน่วย พึงรวมถึงการติดตามทั้งในรูปแบบการสำรวจภาคสนามตามมาตรฐาน การติดตามบนฐานข้อมูลการค้า ตลอดจนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการสำรวจระยะไกล (remote sensing) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพ

ส่งเสริมนโยบายระดับชาติที่มีความสอดประสาน: ภาครัฐควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจน มีเสถียรภาพ และเอื้อต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ บริการส่งเสริมการเกษตร และการเชื่อมโยงตลาด ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเพื่อการบริโภค

เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและการเข้าถึงเทคโนโลยี: มุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ เพื่อช่วยให้เกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย สามารถนำพันธุ์และแนวปฏิบัติที่ได้รับการปรับปรุงไปใช้ในการจัดการโรคพืช การดูแลสุขภาพดิน และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

บทความโดย Alliance Bioversity–CIAT
ภายใต้ Consultative Group on International Agricultural Research (CGIAR)

อนาคตเกษตรยุคใหม่! กรมวิชาการเกษตรเปิดเวทีใหญ่ ดัน ‘จีโนม’ ตัวช่วยสร้างพืชพันธุ์เทพ ทนทานต่อโรค-ภัยแล้ง ย้ำ! ไม่ใช่พืช GMO ที่น่ากังวล

อนาคตเกษตรยุคใหม่! กรมวิชาการเกษตรเปิดเวทีใหญ่ ดัน ‘จีโนม’ ตัวช่วยสร้างพืชพันธุ์เทพ ทนทานต่อโรค-ภัยแล้ง ย้ำ! ไม่ใช่พืช GMO ที่น่ากังวล

กรมวิชาการเกษตร เปิดเวทีเสวนาครั้งสำคัญ Focus Group ในประเด็น “อนาคตเกษตรไทยยุคใหม่” เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing หรือ GEd) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาพืชพันธุ์ให้แข็งแกร่ง ทนทาน และมีคุณภาพดีขึ้น เพื่อสู้กับวิกฤตที่เกษตรกรกำลังเผชิญ!

โอกาสทองของเกษตรกร ทำไมต้องสนใจ “เทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม”?
นายรพีภัทร จันทรศรีวงศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมฯ ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ภาคการเกษตรไทย เพราะนี่คือทางออกสำคัญในการรับมือกับ ภัยพิบัติและสภาพอากาศแปรปรวน สร้างพืชที่ทนแล้ง ทนโรคได้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอการปรับปรุงพันธุ์แบบเดิม ๆ นานหลายปี ปัญหาราคาตกต่ำและผลผลิตล้นตลาด พัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดโลก สร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ความมั่นคงทางอาหาร เพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีปรับแต่งจีโนม (GEd) แตกต่างจากพืช GMO ที่มีการตัดต่อยีนต่างชนิดใส่เข้าไป แต่ GEd เป็นการปรับปรุงแก้ไขยีนที่มีอยู่แล้วในพืชอย่างแม่นยำ คล้ายกับการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ แต่ทำได้เร็วและควบคุมได้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง กรมฯ ยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้ภายใต้หลักวิชาการที่ถูกต้องและมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสากล

โปร่งใส ปลอดภัย! กฎหมายใหม่เพื่อพี่น้องเกษตรกร
กรมวิชาการเกษตรได้มีการออกประกาศสำคัญ 2 ฉบับ คือ ประกาศกระทรวงเกษตรฯ พ.ศ. 2567 ว่าด้วยการรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรอย่างถูกต้อง และ ประกาศกรมวิชาการเกษตร พ.ศ. 2567 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การรับรองพืชที่พัฒนาจากเทคโนโลยีนี้ ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่พืช GMO

ประกาศเหล่านี้จะทำให้เกษตรกรและนักวิจัยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมการพัฒนาพันธุ์พืชได้เร็วขึ้น ควบคู่ไปกับการประเมินความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน

เวทีแลกเปลี่ยนเสียงจากทุกภาคส่วน
เวทีเสวนาในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่นักวิชาการ แต่ยังได้รับเกียรติจากหลายภาคส่วน ทั้งกรรมาธิการด้านการเกษตร ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร (อย.) สมาคมเมล็ดพันธุ์ สภาอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือมีเสียงของ “เกษตรกรสมัยใหม่” เข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ย้ำปิดท้ายว่า “การประชุมครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่กรมฯ พร้อมเปิดรับฟังข้อกังวลของพี่น้องประชาชนและเกษตรกรอย่างจริงใจ เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีนี้จะนำมาซึ่งคุณประโยชน์ต่อประเทศ เกษตรกร และผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืนที่สุด”

สิ่งที่พี่น้องเกษตรกรจะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ พืชพันธุ์ดีขึ้น ทนทานต่อโรค แมลง และสภาพอากาศได้ดีกว่าเดิม ลดต้นทุน ลดการใช้สารเคมีและปุ๋ย เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ ผลผลิตมีคุณภาพสูงตรงตามมาตรฐานที่ตลาดต้องการ

ที่มา : Fackbookเกษตรสัญจร

เวียดนามส่งออกมันสำปะหลังเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 10 เดือน

เวียดนามส่งออกมันสำปะหลังเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 10 เดือน

เวียดนามส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจำนวนประมาณ 3.34 ล้านตัน ในช่วงสิบเดือนแรกของปี 2025 ทำรายได้กว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจากศุลกากรเวียดนาม

ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 59.8% ในด้านปริมาณ และเพิ่มขึ้น 8.5% ในด้านมูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

เฉพาะเดือนตุลาคม มีการส่งออก 260,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 88.53 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 47.6% ในด้านปริมาณ และ 16.3% ในด้านมูลค่า เมื่อเทียบปีต่อปี ราคาส่งออกเฉลี่ยในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเป็น 340.1 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้น 2.7% จากเดือนกันยายน
จีนยังคงเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยนำเข้า 3.16 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 962.74 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือนมกราคม–ตุลาคม เพิ่มขึ้น 63.8% ในด้านปริมาณ และ 10.3% ในด้านมูลค่า เมื่อเทียบกับปีก่อน
ตลาดอื่น ๆ หลายแห่งเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว เช่น ไต้หวัน (จีน), ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, สาธารณรัฐเกาหลี และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะสาธารณรัฐเกาหลีมีการเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดในเดือนตุลาคม โดยเพิ่มการนำเข้ามันสำปะหลังจากเวียดนามถึง 1,282% จากเดือนกันยายน เป็นมากกว่า 7,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.99 ล้านดอลลาร์

บทความโดย ชู มิง โคย

ที่มา https://en.vneconomy.vn/vietnams-cassava-exports-top-over-1-bln-in-10m.htm

ไทย ปักหมุดตลาดตะวันออกกลาง นำทัพเอกชนลุยส่งออกมันสำปะหลัง

ไทย ปักหมุดตลาดตะวันออกกลาง นำทัพเอกชนลุยส่งออกมันสำปะหลัง

กรมการค้าต่างประเทศ จับมือร่วมกับภาคเอกชน และนักวิชาการรวมกว่า 22 ราย เดินทางไปขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทยไปยังอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คาดว่าจะสามารถสร้างความต้องการล่วงหน้าในตลาดได้ก่อนเข้าสู่ช่วงที่ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2568/69 จะเริ่มออกสู่ตลาดมากในเดือนธันวาคม 2568 – มีนาคม 2569

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการตลาดต่างประเทศสินค้ามันสำปะหลัง ได้เร่งดำเนินการตามนโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกและบุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าสินค้ามันสำปะหลังของไทยและรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากในฤดูการผลิตนี้ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังของเกษตรกรภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยครั้งนี้ กรมฯ ได้จัดคณะเดินทางร่วมกับผู้ส่งออกมันสำปะหลังที่มีศักยภาพ พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งมีองค์ความรู้ในการนำมันสำปะหลังไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ รวมทั้งคณะสื่อมวลชน เข้าร่วมเจรจาเปิดตลาดอาหารสัตว์ และผลักดันสินค้ามันสำปะหลังเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร กระดาษ กาว ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งถือเป็นตลาดใหม่ที่ศักยภาพของสินค้ามันสำปะหลังไทย เนื่องจากมีอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่แข็งแกร่ง มีเครือข่ายธุรกิจและการลงทุนในหลากหลายประเทศ รวมถึงมีกำลังซื้อสูง และเปิดกว้างต่อสินค้านำเข้าคุณภาพดี โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้สินค้ามันสำปะหลังไทยสามารถขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้น

“การจัดคณะเดินทางระหว่างวันที่ 18-22 พฤศจิกายน 2568 นี้ ถือเป็นการบุกตลาดตะวันออกกลางที่ต่อเนื่องจากการดำเนินการในช่วงต้นปีที่ได้มีการเดินทางไปขยายตลาดที่ซาอุดีอาระเบีย เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการส่งออกวัตถุดิบสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เป็นการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้มากยิ่งขึ้น”

ในการเยือนครั้งนี้ คณะเดินทางจะหารือกับผู้นำเข้ารายใหญ่สำคัญในสองเมือง ได้แก่ กรุงอาบูดาบี และ นครดูไบ ทั้งในส่วนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมที่ใช้แป้งเป็นวัตถุดิบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าและมุมมองด้านการทำธุรกิจ รวมถึงหารือแนวทางการเพิ่มโอกาสทางการส่งออกของผู้ประกอบการไทยในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาด กระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงแห่งเดียว และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในเวทีการค้าโลก

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

มันฯ ขาดตลาด! โรงแป้ง แย่งซื้อดันราคาพุ่ง จี้รัฐเปิดนำเข้า กันเสียตลาดส่งออก

มันฯ ขาดตลาด! โรงแป้ง แย่งซื้อดันราคาพุ่ง จี้รัฐเปิดนำเข้า กันเสียตลาดส่งออก

มันสำปะหลังขาดตลาด ลานมัน-โรงแป้งแย่งซื้อ ดันราคาพุ่ง 2.55 – 2.70 บาท/กก.นายกสมาคมการค้ามันฯ คาดการณ์ปี 68 ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทะลุ 4.5 ล้านตัน ห่วงปี 69 ผลผลิตไม่พอส่งออก วอนรัฐผ่อนปรนนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน หวั่นเสียตลาดให้เวียดนาม

อัปเดตสถานการณ์การส่งออกสินค้ามันสำปะหลังและหัวมันสำปะหลังไทย ไตรมาสสุดท้ายปี 2568 และแนวโน้มการส่งออกปี 2569 จะเป็นอย่างไร หากรัฐบาลยังปิดตายการนำเข้าหัวมันสดและมันเส้นจากกัมพูชา ที่ช่วยดันราคาในประเทศอีกด้านสมาคมมันสำปะหลังกัมพูชาได้เซ็นขายหัวมันสด 9.5 ล้านตันให้กับเวียดนาม

นายอำนาจ สุขประสงค์ผล นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงการส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดของไทย 9 เดือนของปี 2568 ว่า มีปริมาณรวมกว่า 4.1 ล้านตัน (มูลค่า 23,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ตอนต้นปี คาดทั้งปีนี้ไทยจะส่งออกได้ 4.5 ล้านตัน

มีปัจจัยบวกจากราคามันเส้น ณ เวลานี้สามารถแข่งขันได้กับธัญพืชอื่น ๆ เช่น ข้าวโพด เป็นต้น โดยมีจีนเป็นตลาดหลัก ส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตเอทานอล และยังใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ได้ด้วย ทำให้ในปีนี้มีมันเส้นขายเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ด้วย จาก 3 ปีก่อนหน้านี้ราคามันเส้นไทยแพงมาก ทำให้ผู้ใช้ที่เป็นอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของจีนหันไปใช้ธัญพืชอื่นทดแทน

“ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่แข่งขันด้านราคาในตลาดโลกได้ ส่วนหนึ่งยอมรับว่ามาจากราคาหัวมันในประเทศตํ่าลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ส่งออกไม่อยากให้เกิดขึ้น และเป็นความเสียใจ ไม่พอใจ เพราะเมื่อเทียบกับไปในหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรยังขายหัวมันสดได้ในราคาสูง ก็อยากทำความเข้าใจกับเกษตรกรที่เข้าใจว่าผู้ส่งออกกดราคา ซึ่งยืนยันว่าราคาที่รับซื้อเป็นไปตามราคาตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงจริง”

นายอำนาจ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดี ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ราคาหัวมันสดเชื้อแป้ง 25% เฉลี่ยกิโลกรัม (กก.) ละ 2.55 – 2.70 บาท เชื้อแป้ง 30% เฉลี่ย 2.15 – 2.40 บาทต่อกก. เป็นราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตมีน้อย ฝนตก สินค้าขาดตลาด ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงงานแป้งมันแย่งกันซื้อ เพราะมีคำสั่งซื้อที่ต้องเร่งผลิตส่งมอบสินค้า สิ่งที่น่าเป็นห่วงในปีการผลิต 2568/69 ประเมินผลผลิต 22 ล้านตัน จากปีก่อน 25-26 ล้านตัน เนื่องจากราคาไม่ดี ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชที่ได้ราคาดีกว่า ทำให้ผลผลิตปี 2569 มีแนวโน้มลดลงและน่าเป็นห่วง ทั้งที่ความต้องการของโรงงานแป้งมันและโรงงานมันเส้นต้องการหัวมันสดถึง 37 ล้านตัน

“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศไทยถึงจำเป็นต้องนำเข้ามันสำปะหลังมาโดยตลอด สาเหตุหลักก็มาจากโรคใบด่างมันสำปะหลัง ทำให้ผลผลิตต่อไร่ตํ่า ปี 2567 ไทยมีการนำเข้าหัวมันสดและมันเส้นจากกัมพูชาและ สปป.ลาว กว่า 9 ล้านตัน แต่ทางคณะผู้สำรวจฯ คาดการณ์ว่ามีมากกว่า 10 ล้านตัน”

ในปี 2569 หากหัวมันสดไม่เพียงพอกับการแปรรูปส่งออก และด่านชายแดนไทย-กัมพูชายังปิดไม่สามารถนำเข้าได้ คาดว่าการส่งออกปีหน้าจะลดลง ปัจจุบันกัมพูชาได้ส่งหัวมันสดไปเวียดนาม โดยล่าสุดสมาคมมันสำปะหลังแห่งกัมพูชาได้ไปเซ็น MOU กับสมาคมมันสำปะหลังเวียดนาม โดยจะส่งผลผลิตหัวมันสดปริมาณ 9.5 ล้านตันให้กับเวียดนาม ซึ่งได้เซ็นสัญญาไปแล้ว

ดังนั้นเมื่อมันสำปะหลังเข้ามาไทยไม่ได้ ก็เหลือที่ลาว ซึ่งปีนี้นำเข้ามันเส้น 2.67 ล้านตัน เทียบเท่ามันสด 6 ล้านตัน ซึ่งมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะจำกัดฤดูการนำเข้า หากร้ายสุดเข้ามาไม่ได้เลย เพื่อไม่ให้กระทบกับชาวไร่มันของไทย เท่ากับว่ามันเส้นจะหดหายไป จะทำให้เกิดวิกฤตกับโรงงานมันเส้น

“ทางสมาคมขอให้ภาครัฐผ่อนปรนทีละขั้นตอน ถ้าปิดด่านไม่ให้นำเข้าเลย ผู้ประกอบการเดือดร้อน จะทำให้ไทยเสียตลาดมันเส้นไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก” นายอำนาจกล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

อาร์เจนตินาปรับมาตรฐาน’ข้าวฟ่างหนุนส่งออกเจาะตลาดจีน’ ท้าทายฐานเดิมสหรัฐฯ ทีมทรัมป์จับตาดีลแนวรบธัญพืช

อาร์เจนตินาปรับมาตรฐาน’ข้าวฟ่างหนุนส่งออกเจาะตลาดจีน’ ท้าทายฐานเดิมสหรัฐฯ ทีมทรัมป์จับตาดีลแนวรบธัญพืช

อาร์เจนตินาปรับมาตรฐานข้าวฟ่างหนุนส่งออกเจาะตลาดจีน ท้าทายฐานเดิมสหรัฐฯ ออกกฎเข้มงวดตามข้อกำหนดปักกิ่ง ส่งออกแล้ว 1.22 ล้านตันปีนี้ ทีมทรัมป์ไม่พอใจหลังให้ความช่วยเหลือทางการเงิน 2 หมื่นล้าน
ดอลลาร์

SCMP รายงานว่า รัฐบาลอาร์เจนตินาได้ออกมาตรการเข้มงวดปรับมาตรฐานส่งออกข้าวฟ่างเพื่อป้อนตลาดจีนโดยตรง ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ที่เคยครองตลาดข้าวฟ่างในจีนมาก่อนที่สงครามการค้าภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์จะเปลี่ยนสมดุลโลจิสติกส์การค้าโลก

สำนักงานเลขาธิการเกษตรของอาร์เจนตินาออกมติเมื่อวันศุกร์ กำหนดกฎการจัดเกรดใหม่ตามน้ำหนักทดสอบและจำกัดสิ่งเจือปน โดยการส่งออกต้องมีน้ำหนักขั้นต่ำ 72, 70 และ 67 กิโลกรัมต่อเฮกโตลิตรตามเกรด และสินค้าที่ต่ำกว่าระดับนี้จะไม่มีคุณสมบัติสำหรับการรับรองการส่งออกมาตรฐาน มาตรการนี้ยังปรับปรุงวิธีการจัดเกรดข้าวฟ่างเพื่อตอบสนองข้อกำหนดด้านอาหารสัตว์และการแปรรูปของต่างประเทศ

หน่วยงานระบุในแถลงการณ์ว่า มาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อ “อำนวยความสะดวกในการตลาดภายในประเทศ ยกระดับคุณภาพของการผลิตระดับชาติ และปรับปรุงตำแหน่งของอาร์เจนตินาในตลาดที่เรียกร้องมากขึ้น” โดยมติดังกล่าวแทนที่กฎปี 2537 และอ้างถึงการก้าวขึ้นมาของจีนในฐานะผู้ซื้อข้าวฟ่างหลักของอาร์เจนตินาตั้งแต่ปี 2564

ข้อมูลของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าจีนได้กลายเป็นผู้ซื้อข้าวฟ่างรายใหญ่ของอาร์เจนตินา โดยระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้ อาร์เจนตินาส่งออกข้าวฟ่าง 1.23 ล้านตัน โดย 1.22 ล้านตันไปยังจีน เจ้าหน้าที่กล่าวว่ามาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นได้รับการออกแบบมาเพื่อรักษาการค้านั้นให้คงที่โดยการปรับปรุงความสม่ำเสมอของสินค้า

การเคลื่อนไหวนี้อาจสร้างความตึงเครียดกับสหรัฐฯ หลังจากที่รัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ถูกถ่ายภาพที่การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติขณะอ่านข้อความที่วิจารณ์อาร์เจนตินาที่ยกเลิกภาษีการส่งออกธัญพืชไม่นานหลังจากได้รับแพ็คเกจทางการเงิน 20 พันล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ ข้อความนั้นซึ่งมีรายงานว่ามาจากรัฐมนตรีเกษตร บรูค รอลลินส์ ระบุว่า “เราช่วยเหลืออาร์เจนตินาเมื่อวานนี้ และเป็นการตอบแทน อาร์เจนตินาได้ลบภาษีส่งออกธัญพืช ลดราคาให้กับจีนในช่วงเวลาที่เราตามปกติจะขายให้กับจีน ราคาถั่วเหลืองกำลังลดลงเพิ่มเติมเพราะเรื่องนี้”

เหตุการณ์นี้สะท้อนความขัดแย้งภายในรัฐบาลทรัมป์เกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างความช่วยเหลือทางการเงินกับความพยายามในการต่อต้านอิทธิพลของจีนในอเมริกาใต้ ภายใต้เงื่อนไขของการช่วยเหลือ อาร์เจนตินาถูกคาดหวังให้ลดความร่วมมือกับปักกิ่ง แต่ไม่กี่วันก่อนการประชุมสหประชาชาติ รัฐบาลได้ระงับภาษีการส่งออกถั่วเหลือง ข้าวโพด และข้าวสาลี ส่งผลให้มีการประกาศส่งออกใหม่มูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ภายใน 48 ชั่วโมง ส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจีน

ที่มา : IMCT News Thai Perspectives on Global News

จับตาจีน-เวียดนาม ตั้งโรงแป้งมันในลาวแข่งไทย

จับตาจีน-เวียดนาม ตั้งโรงแป้งมันในลาวแข่งไทย

มันสำปะหลังไทยจี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา หาท่อนพันธุ์สะอาด แก้โรคใบด่าง เพื่อเพิ่มผลผลิต แข่งเวียดนาม พร้อมขอให้ช่วยหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ จับตาจีน-เวียดนามลงทุนตั้งโรงแป้งมันในลาว หวังผลิตแข่งไทย

นายอำนาจ สุขประสงค์ผล นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สมาคมได้ติดตามการส่งออกแป้งมันสำปะหลังของเวียดนามและ สปป.ลาว มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากขณะนี้มีนักลงทุนจีน และเวียดนาม เข้าไปลงทุนโรงแป้งสำปะหลังใน สปป.ลาว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีโรงงานประมาณ 25-26 แห่ง และเมื่อดูทิศทางตัวเลขการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องราคาและต้นทุนที่ถูกกว่าไทย และเวียดนามค่าเงินของเวียดนามอ่อนค่าด้วย ก็ทำให้ส่งออกโต

และเมื่อเทียบราคาแป้งมันสำปะหลังพบว่า ของเวียดนามจะถูกกว่าไทย 40-50 เหรียญสหรัฐต่อตัน แม้ศักยภาพของไทยจะแข่งขันได้ แต่ก็ยังถือว่าแข่งขันได้น้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

“ราคาแป้งมันสำปะหลังของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 390-400 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยเวียดนามเฉลี่ยอยู่ที่ 340-350 เหรียญสหรัฐต่อตัน และโดยส่วนใหญ่เวียดนามส่งออกแป้งมันไปตลาดจีนถึง 90% เพราะเวียดนามพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ในขณะที่ไทยส่งออกแป้งมันไปตลาดจีน คิดเป็น 60% ของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่มีการส่งออกไปในตลาดจีน”

ทั้งนี้ เมื่อดูปริมาณการส่งออกแป้งมันสำปะหลังของไทยในช่วง 8 เดือนแรกที่ส่งไปในตลาดจีน พบว่ามีปริมาณ 1.18 ล้านตัน เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1.23 ล้านตัน ส่วนการส่งออกทั้งปีคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว 1.8 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามส่งออกอยู่ที่ 1.6 ล้านตัน ซึ่งเมื่อดูปริมาณแล้ว เวียดนามส่งออกได้เยอะกว่าไทย และหากจะให้ตลาดแป้งมันของไทยแข่งขันได้ ปัจจัยสำคัญคือการดูแลค่าเงินบาท

โดยมองว่าอัตราที่เหมาะสม 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ รวมไปถึงการแก้ไขเรื่องผลผลิตต่อไร่ที่ควรจะผลักดันให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น อีกทั้งเรื่องของเชื้อแป้ง ซึ่งปัจจุบันเชื้อแป้งของไทยต่ำลง โดยสาเหตุมาจากเรื่องของโรคใบด่างที่ต้องเร่งแก้ไข

ส่วนการส่งออกมันเส้นของไทยค่อนข้างที่จะเติบโต โดย 8 เดือนแรกปี 2568 มีการส่งออกมันเส้น เฉลี่ยอยู่ที่ 3.6 ล้านตัน และคาดว่าทั้งปีจะสามารถส่งออกได้ 4.4-4.5 ล้านตัน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากราคามันสำปะหลังของไทยถูกลงสามารถแข่งขันกับข้าวโพดในจีนได้ ซึ่งจีนนำเข้ามันเส้นไปทำเอทานอลและอาหารสัตว์ โดยกลุ่มอาหารสัตว์จะมีการเติบโตมากกว่า โดยคู่แข่งมันเส้นของไทยยังเป็นเวียดนาม แต่ไทยยังแข่งขันได้ ประกอบกับราคาอยู่ใกล้เคียงกัน โดยมันเส้นไทยอยู่ที่ 210-220 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนเวียดนามอยู่ที่ 210-215 เหรียญสหรัฐต่อตัน

อย่างไรก็ดี คาดหวังให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง หรือ นบมส. ซึ่งได้มีการอนุมัติงบประมาณในการเร่งจัดทำท่อนพันธุ์สะอาด เพื่อกระจายให้กับเกษตรกร โดยต้องการให้รัฐบาลชุดปัจจุบันเดินหน้าให้ได้โดยเร็ว เพราะหากเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่มีการยกระดับท่อนพันธุ์มันสำปะหลังมีความต้านทานโรคมากขึ้น อีกทั้งผลผลิตต่อไร่สูง เชื้อแป้งเพิ่มขึ้น จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลอาจจะต้องเร่งแก้ไข รวมไปถึงช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับภาคเกษตรกร รวมไปถึงแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพื่อให้ไทยแข่งขันได้

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรมยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมขยายตลาดส่งออกมันสำปะหลัง โดยมีแผนจัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเจรจาขยายตลาดและเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปยุโรป เป็นต้น เพื่อผลักดันสินค้ามันสำปะหลังเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่หลากหลายมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเคมี กาว และกระดาษ

ทั้งนี้ แม้ว่าปริมาณการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่มูลค่ากลับลดลง สาเหตุหลักเนื่องจากราคามันสำปะหลังในตลาดโลกปรับลดลงจากแรงกดดันของราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในตลาดโลก ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนปรับตัวลดลงมาก โดยมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ประมาณ 69,888.12 ล้านบาท ลดลง 12.93% จากปีก่อนที่มีมูลค่าประมาณ 80,266.47 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี กรมการค้าต่างประเทศยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนแผนส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยมุ่งเน้นการแสวงหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อให้ปริมาณการส่งออกมันสำปะหลังในปี 2568 บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

อุตฯ มันสำปะหลัง ส่อโคม่า ผลผลิตหด-ชาวไร่ ชิ่งหนีหันไปปลูกพืชอื่นที่ได้เงินมากกว่า

อุตฯ มันสำปะหลัง ส่อโคม่า ผลผลิตหด-ชาวไร่ ชิ่งหนีหันไปปลูกพืชอื่นที่ได้เงินมากกว่า

พิษโรคใบด่าง เขย่าอุตฯมันสำปะหลังส่งออกระส่ำ ผลผลิตเหลือ 22.83 ล้านตัน ซ้ำเติมชาวไร่หนีหันไปปลูกพืชอื่นได้เงินมากกว่า

นายบุญชัย ศรีชัยยงพานิช ประธานคณะสำรวจภาวะการผลิตและการค้ามันสำปะหลัง ฤดูการผลิตปี 2568/69 เปิดเผยผลสำรวจ 4 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ดำเนินการสำรวจภาวะการผลิตและการค้ามันสำปะหลัง พบว่าผลผลิตมันสำปะหลังของประเทศเผชิญวิกฤตหนัก ผลผลิตรวมลดลงเหลือ 22.83 ล้านตัน หดตัวถึง ร้อยละ 8.61 จากฤดูการผลิตปีก่อน แม้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่พื้นที่เพาะปลูกกลับลดลงกว่า 8.4 แสนไร่ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังกดดันเกษตรกรทั่วประเทศ

“รายได้ไม่คุ้มกับการเพาะปลูก อันเนื่องมาจากผลผลิตต่อไร่ลดลง จากปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังที่ยังคงแพร่ระบาด เกษตรกรจำนวนมากขาดแคลนพันธุ์ทนโรคและปลอดโรค ทำให้การระบาดลุกลามในหลายพื้นที่ ประกอบกับปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และปัญหาแรงงานขาดแคลน ซ้ำเติมด้วยสภาพอากาศแปรปรวนที่ทำให้ผลผลิตเสียหาย มีผลทำให้เกษตรกรหันไปปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และอ้อยโรงงาน เป็นต้น หากไม่มีมาตรการรองรับอย่างจริงจังอาจกระทบต่อความมั่นคงของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยทั้งระบบ”

อย่างไรก็ดีทางคณะสำรวจฯ จึงเสนอให้ภาครัฐและเอกชน เร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือ ดังนี้

  • เร่งผลิตพันธุ์มันสำปะหลังที่ทนโรคและปลอดโรคให้เกษตรกรอย่างเพียงพอ
  • ส่งเสริมการตรวจแปลงและคัดเลือกท่อนพันธุ์สะอาด
  • สนับสนุนเทคโนโลยีการผลิต เช่น ระบบน้ำหยด เกษตรแม่นยำ และเครื่องจักรกล
  • ปรับปรุงระเบียบการขนย้ายท่อนพันธุ์ที่เป็นอุปสรรค
  • สนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อลดต้นทุนเกษตรกร

นายบุญชัย กล่าวว่า วิกฤตมันสำปะหลังครั้งนี้มิใช่เป็นเพียงปัญหาด้านปริมาณผลผลิต แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเกษตรกรไทย หากไม่เร่งแก้ไขอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

มันสำปะหลังเพิ่มมูลค่า หลังเวียดนามบังคับใช้เชื้อเพลิง E10 ทั่วประเทศ

มันสำปะหลังเพิ่มมูลค่า หลังเวียดนามบังคับใช้เชื้อเพลิง E10 ทั่วประเทศ

การเปลี่ยนผ่านด้านเชื้อเพลิงของรัฐบาลเปิดตลาดใหม่ให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งลดราคาน้ำมันลง

การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความมั่นคงด้านพลังงานและปกป้องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างตลาดที่มั่นคงสำหรับมันเส้นหลายล้านตันที่ก่อนหน้านี้เกษตรกรเวียดนามต้องส่งออกไปขายให้จีนในราคาที่ไม่แน่นอน


กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเสนอให้มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E15 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2574 ภาพ: เจิ่น จุง

ในร่างระเบียบ “ข้อกำหนดเกี่ยวกับแผนการผสมเชื้อเพลิงชีวภาพกับเชื้อเพลิงดั้งเดิมในเวียดนาม” กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้เสนอให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป น้ำมันเบนซินที่ผสม ปรับปรุง และจำหน่ายทั่วประเทศสำหรับยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินจะต้องเป็น น้ำมัน E10 ทั้งหมด และภายในวันที่ 1 มกราคม 2574 น้ำมันเบนซินสำหรับยานยนต์ทั้งหมดจะต้องเป็น E15 หรือเชื้อเพลิงชีวภาพชนิดอื่น ๆ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ากำหนด

ความพร้อมของเวียดนามในการผลิตเอทานอล

เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากน้ำมันเบนซินแบบดั้งเดิมไปสู่ E10 ทั่วประเทศตั้งแต่ต้นปี 2569 โด วัน ตวน ประธานสมาคมเชื้อเพลิงชีวภาพเวียดนาม ยืนยันว่ากำลังการผลิตในประเทศกำลังพัฒนาขึ้นและสามารถเสริมด้วยการนำเข้าได้หากจำเป็น เวียดนามมีความสามารถอย่างเต็มที่ในการรับประกันอุปทานเอทานอลที่มั่นคงเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านที่เสนอนี้

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้นทุนการผลิตเอทานอลกำลังลดลง ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา เอทานอลมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินแบบดั้งเดิมถึง 20-30% อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการผสมเอทานอล 10% เข้าไปในน้ำมันเบนซินจะส่งผลให้ราคา E10 ลดลงอย่างมาก

ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ตวนกล่าวว่าราคาไม่ใช่ข้อกังวลหลัก วัตถุประสงค์หลักของการเปลี่ยนจากน้ำมันเบนซินฟอสซิลเป็น E10 คือการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมโดยไม่เพิ่มต้นทุนทางสังคม ซึ่งถือเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างครอบคลุม นอกจากนี้ยังช่วยสร้างสมดุลทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาผ่านการนำเข้าเอทานอลจากประเทศดังกล่าว

“ยิ่งไปกว่านั้น เชื้อเพลิงชีวภาพยังเป็นการปูทางสำหรับการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนในเวียดนาม โดยการจัดหาตลาดที่มั่นคงสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร” ตวนกล่าว

ปัจจุบันเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังกว่า 500,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 3.125 ล้านไร่) ให้ผลผลิตมากกว่า 10 ล้านตันต่อปี อย่างไรก็ตาม ราคามันสำปะหลังยังคงผันผวนอย่างหนัก โดยพึ่งพาการส่งออกชิปมันสำปะหลังแห้งดิบไปยังจีนเป็นหลัก

ด้วยอุตสาหกรรมเอทานอลที่กำลังขยายตัว มันสำปะหลังจะมีช่องทางระบายสินค้าที่มั่นคง ทำให้เกษตรกรสามารถมุ่งเน้นการเพาะปลูกได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องราคาขายที่ตกต่ำ


เมื่ออุตสาหกรรมเอทานอลเติบโต มันสำปะหลังก็จะมีตลาดที่มั่นคง ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตได้อย่างสบายใจ ภาพ: ต๊าม อัน

โรงงานหลายแห่งได้อัปเกรดเทคโนโลยีเพื่อสกัดผลพลอยได้เพิ่มเติม เช่น คาร์บอนไดออกไซด์เหลว (liquid CO2), ฟิวเซลออยล์ (fusel oil) และ DDGS (ผลพลอยได้ที่ใช้สำหรับอาหารสัตว์) ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สิ่งนี้สะท้อนถึงรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ประเทศตั้งเป้าที่จะบรรลุ

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ากล่าวว่า ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ E10 คือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นพลังงานหมุนเวียน ทำให้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนบางส่วนที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเชื้อเพลิงดั้งเดิม E10 เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผสมกับผลพลอยได้ทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด มันเทศ และมันสำปะหลัง

ดังนั้น การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่างแพร่หลายจึงช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในระยะยาว

ความต้องการเอทานอลในเวียดนาม

เวียดนามใช้น้ำมันเบนซินมากกว่า 10 ล้านตันต่อปี หากมีการใช้น้ำมัน E10 ทั้งสำหรับน้ำมันเบนซิน RON92 และ RON95 ปริมาณเอทานอลที่ต้องการจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี หากมีการใช้ E15 จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านตันต่อปี

ปัจจุบันเวียดนามมีโรงงานผลิตเอทานอล 6 แห่ง โดย 4 แห่งเปิดดำเนินการแต่มีกำลังการผลิตเพียงประมาณ 35% เนื่องจากความต้องการของตลาดมีจำกัด เมื่อโครงการ E10 เริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม 2569 โรงงานเหล่านี้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เต็มที่ นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการการผสมเอทานอลประมาณ 50%

“การผลิตเอทานอลในประเทศสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้อย่างเต็มที่ในแง่ของราคา การนำเข้าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออุปทานในประเทศไม่เพียงพอเท่านั้น” ประธานสมาคมเชื้อเพลิงชีวภาพเวียดนามกล่าว

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/cassava-gains-value-as-vietnam-mandates-e10-fuel-nationwide-2439377.html

ถึงเวลาปรับนโยบาย มันสำปะหลังของไทย ?

ถึงเวลาปรับนโยบาย มันสำปะหลังของไทย ?

ถึงเวลาปรับนโยบาย มันสำปะหลังของไทย ?

คอลัมน์ : นอกรอบ
ผู้เขียน : วิโรจน์ ณ ระนอง วุฒิพงษ์ ตุ้นยุทธ์, อรุณพร พรพูนสวัสดิ์

มันสำปะหลังเป็นพืชที่สำคัญต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตมันสำปะหลังมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอันดับ 1 ของโลกมานานกว่า 4 ทศวรรษ นำรายได้เข้าประเทศ 110,276 ล้านบาทในปี 2567

ในระยะหลังไทยเปลี่ยนจากการส่งออกสินค้าแปรรูปขั้นต้นอย่างมันเส้นและมันอัดเม็ดมาเป็นส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์หลักคือแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งประกอบด้วย แป้งมันสำปะหลังดิบ (Native Starch) และแป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified Starch) ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนาของทั้งภาคเอกชน ภาควิชาการอย่างสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งมูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลัง และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ

แต่ในปัจจุบันมันสำปะหลังไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ทั้งจากโรคระบาดที่ยาวนาน และจากที่ประเทศเพื่อนบ้านหันมาปลูกและพัฒนาอุตสาหกรรมแป้งมัน จนกลายเป็นคู่แข่งของไทยทั้งในตลาดแป้งมันและมันเส้น

ในขณะนี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ศึกษาวิจัยแนวทางการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้ามันสำปะหลัง ให้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ และได้สรุปปัญหาและเสนอแนวทางพัฒนาการผลิตและการค้ามันสำปะหลังของไทยโดยสังเขปดังนี้

ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข
โรคใบด่างมันสำปะหลัง เป็นปัญหาใหญ่สุดของมันสำปะหลังในภูมิภาคนี้ โดยระบาดมากทั้งในกัมพูชา ไทย และเวียดนาม ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา การระบาดในไทยขยายตัวเป็นวงกว้างหลายล้านไร่ในพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังแทบทุกภาค ส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลผลิตต่อไร่ของเกษตรกร และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโรคอื่นตามมาด้วย และถึงแม้ที่ผ่านมา ภาครัฐจะสนับสนุนให้ใช้ท่อนพันธุ์ “ทนทาน” ที่ปลอดเชื้อ แต่พันธุ์เหล่านั้นมักติดเชื้อหลังจากที่ปลูกไปเพียง 2-3 รุ่น จึงไม่ใช่วิธีที่สามารถควบคุมการระบาดได้

ผลผลิตต่อไร่ต่ำและต้นทุนสูง ผลผลิตต่อไร่ของไทยมีแนวโน้มต่ำลง ซึ่งแม้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากโรคใบด่าง แต่ผลผลิตต่อไร่ของไทยก็มีแนวโน้มต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านด้วย และต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะปุ๋ยและค่าแรง

การพึ่งพาตลาดจีน ไทยส่งออกมันเส้นและแป้งมันไปจีนในสัดส่วนที่สูง ทำให้มีความเสี่ยงสูงเมื่อจีนเปลี่ยนนโยบายหรือหันไปลงทุนในประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า

การนำเข้ามันสำปะหลังจากเพื่อนบ้าน ในบางช่วงไทยอาจจำเป็นต้องควบคุมหรือห้ามนำเข้าเพื่อควบคุมโรคระบาด แต่ไทยพัฒนาและลงทุนด้านโรงแป้งไปมาก จนมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนมันสำปะหลังสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปและอุตสาหกรรมต่อเนื่องในระยะยาว

ข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับมันสำปะหลังไทยใน 3 ด้าน

1.ข้อเสนอด้านการผลิต
เร่งขยายพันธุ์ต้านทานโรคใบด่างอย่างเป็นระบบ : ควรเปลี่ยนจากการส่งเสริมการใช้พันธุ์ “ทนทาน” มาเน้นการขยายพันธุ์ “ต้านทาน” โรคใบด่าง โดยเริ่มจากพันธุ์อิทธิ 1 และ 2 ซึ่งผลการวิจัยให้ผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งใกล้เคียงพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ที่ไม่ติดโรค โดยรัฐควรจัดสรรงบฯสนับสนุนการเร่งขยายพันธุ์ต้านทานด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) เพื่อให้สามารถขยายพันธุ์ต้านทานที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็วให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรทั่วประเทศภายใน 5-6 ปี พร้อมทั้งปรับปรุงระบบงบประมาณให้ยืดหยุ่นเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านโรคระบาดด้วย

เร่งวิจัยพัฒนาพันธุ์ต้านทานที่ให้ผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งสูง โดยใช้พันธุ์ต้านทานที่มีอยู่มาผสมกับพันธุ์หลักของไทย และพันธุ์พิเศษอย่างพันธุ์แว็กซี่ (ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายแป้งข้าวเหนียว ที่สามารถนำไปทำแป้งพรีเมี่ยมได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีแบบการทำแป้งดัดแปร)

การจัดการสิ่งแวดล้อม สนับสนุนงานวิจัยต้นแบบในการจัดการและใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้ เช่น กากมันและน้ำเสียจากโรงแป้งมัน เพื่อผลิตปุ๋ยหรือวัสดุบำรุงดินอย่างปลอดภัย และในกรณีที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว ก็เสนอให้ปรับปรุงกฎหมายผังเมืองให้ยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนการตั้งโรงงานแปรรูปใกล้แหล่งผลิตได้ภายใต้เงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการผลิตปุ๋ยหรือวัสดุบำรุงดินที่โรงงาน ตามแนวทางของเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) โดยไม่ต้องส่งของเสียออกไปกำจัดหรือบำบัดนอกโรงงาน

2.ข้อเสนอด้านราคาและต้นทุน
ปรับโครงสร้างราคามันสำปะหลังตามเปอร์เซ็นต์แป้ง เพื่อจูงใจให้เกษตรกรผลิตมันสำปะหลังที่มีคุณภาพสูง และได้รับผลตอบแทนเต็มที่จากการปรับปรุงคุณภาพ ปัจจุบันเกษตรกรไทยที่ขายมันที่มีแป้ง 30% จะได้ราคาเพิ่มจากมันที่มีแป้ง 25% เพียง 0.25 บาท/กก. แต่ถ้าราคามันในเวียดนามที่มีแป้ง 25% อยู่ที่ 2.50 บาท/กก. เกษตรกรที่ทำมันที่มีแป้ง 30% จะได้ราคาเพิ่มขึ้นมา 0.50 บาท/กก. หรือสองเท่าของราคาที่เกษตรกรไทยจะได้เพิ่ม

ลดการแทรกแซงราคา ลดการใช้นโยบายประกันรายได้และการแทรกแซงราคา ซึ่งมีผลระยะยาวไม่ต่างจากการนำภาษีมาอุดหนุนการส่งออก

3.ข้อเสนอด้านการค้า
ปรับนโยบายการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทย ความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลังและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทำให้มีแนวโน้มที่ไทยจะต้องการวัตถุดิบมากขึ้น และขาดแคลนวัตถุดิบในอนาคต ในระยะยาวจึงควรมีนโยบายอนุญาตให้นำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบ เพราะในระยะยาวนั้น ราคามันในประเทศไทยจะขึ้นกับราคามันในตลาดโลก มากกว่าขึ้นกับปริมาณมันที่ซื้อขายกันในประเทศไทย

จากปัญหาและแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น น่าจะถึงเวลาที่ไทยควรต้องปรับนโยบายและเป้าหมาย เพื่อช่วยให้การผลิตและการค้ามันสำปะหลังของไทยมีเสถียรภาพและความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องกำหนดนโยบายและจัดสรรงบประมาณที่จำเป็นให้เพียงพอและปรับกฎกติกาการค้าให้สอดคล้องกับการพัฒนา ภาคเอกชนที่ต้องลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เกษตรกรที่ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ภาควิชาการที่ติดตามปัญหาและถ่ายทอดองค์ความรู้ ตลอดจนความร่วมมือกับนานาประเทศ หากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ก็จะทำให้มันสำปะหลังไทยจะยังคงเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ให้ประเทศ อุตสาหกรรม และเกษตรกรของไทยอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนสืบไป

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าพืชไร่ (มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ โดยมีสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นที่ปรึกษาและศึกษาวิจัยโครงการ

… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/economy/news-1876626

Recent Posts